วันที่ 10 ต.ค.2567 นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร นำเอกสารทั้งคำร้องและพยานหลักฐาน 5,080 แผ่น เดินทางมายื่นศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้วินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคเพื่อไทยผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 หลังเคยไปยื่นกับอัยการสูงสุดมาแล้ว แต่ไม่ได้มีการดำเนินการใดและครบตามตลอดเวลา กฎหมายจึงเปิดช่องให้สามารถเดินทางมายื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
โดยนายธีรยุทธ กล่าวว่า ตนดำเนินการร้องใน 6 ประเด็น คือ 1. เนื่องจากนายทักษิณได้รับพระราชทานพระมหากรุมาอภัยโทษ เหลือโทษจำคุก 1 ปี โดยพบว่านายทักษิณใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารรราชการแผ่นดินสั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรมเอื้อประโยชน์ให้ได้พักอาศัยชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไม่ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว
“ติ๊ก ชิโร่” ขับรถตู้ชน จยย.ดับ 1 สาหัส 1 ยืนรอมอบตัว ก้มกราบเท้าขอโทษ
สคบ. จ่อเรียก 3 ดาราดัง บอส The iCon Group ให้ข้อมูลสัปดาห์หน้า
รวมข้อมูลพร้อมพิกัดบูธ “สัปดาห์งานหนังสือแห่งชาติ 2567” ครั้งที่ 29
กรณีที่ 2. นายทักษิณมีพฤติกรรมฝักใฝ่คบหาร่วมคิดกับสมเด็จฯฮุนเซน ซึ่งเป็นผู้นำทางการเมืองประเทศกัมพูชา ที่มีระบบการปกครองที่ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนายทักษิณมีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำและเป็นผู้สั่งการ ใช้พรรคเพื่อไทย เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์กับสมเด็จฯฮุน เช่น ให้ประเทศกัมพูชามีอธิปไตยทางทะเลเหนือไทย โดยให้มีการเจรจาพื้นที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าเป็นเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล MOU 2544 แบ่ง ผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา
กรณีที่ 3. นายทักษิณ สั่งการให้พรรคเพื่อไทย ร่วมมือเพื่อแก้รัฐธรรรรกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมือง หรือ พรรคก้าวไกลเดิม ที่ต้องคำวินิจฉัยศาล รัฐธรรมนูญ 3/2567 ว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิบไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งนายทักษิณมีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และ เป็นผู้สังการให้พรรคเพื่อไทย แก้รัฐธรรมนูญ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ถูกร้องที่ 1 และพวก
กรณีที่ 4. นายทักษิณ มีพฤติการณ์ เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และ เป็นผู้สั่งการ ให้พรรคเพื่อไทย ในการเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี หารือ การเสนอบุคคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 สิ่งหาคม 2566 ที่บ้านพักส่วนตัวของนายทักษิณ(บ้านจันทร์ส่องหล้า)
กรณีที่ 5. นายทักษิณ มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ เป็นผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการ พรรคเพื่อไทย ให้มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล
กรณีที่ 6. นายทักษิณมีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการ พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ให้นำนโยบายของ ที่ตัวเองแสดงวิสัยทัศน์ไว้ เมื่อวันที่22 สิงหาคม 2567 ไปดำเนินการให้เป็นบโรบายคณะรัฐมมเตรีที่แถลงต่อรัฐสถาในวันที่ 12 กันยายน 2557
จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ โปรดพิจารณาวินิจฉัยว่า ทั้ง 6 กรณี ว่า นายทักษิณและพรรคเพื่อไทย มีการกระทำอันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ สูญเสียสถานะที่จะต้องอยู่เหนือการเมืองหรือดำรงความเป็นกลางทางการเมือง ย่อมเป็นการเซาะกร่อนสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง และยังมีการกระทำเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบบพรรคการเมือง ที่เป็นสถาบันทางการเมืองที่สำคัญของระบอบมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ชำรุดทำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง การกระทำดั่งกล่าวเป็นการกระทำที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุดเพื่อป้องกันความเสียหายร้ายแรงที่อาจจะเกิดแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นสถาบันหลักของประเทศ และสถาบันพรรคการเมืองที่มีความสำคัญต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ชำรุดทรุดโทรมเสื่อมทรามหรืออ่อนแอ การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
พร้อมขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสั่งการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง ดังนี้
1. ให้นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกร้องที่ 1 เลิกกระทำการใช้พรรคเพื่อไทย ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นเครื่องมือกระทำการอันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์
2. ให้นายทักษิณ เลิกกระทำการเป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบจำ และเป็นผู้สั่งการ การดำเนินงานของพรรคเพื่อไทย
3. ให้นายทักษิณเลิกใช้พรรคเพื่อไทยเป็นครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน สั่งการรัฐบาลให้ดำเนินการตามความต้องการของนายทักษิณ และให้เลิกใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธธรรมนูญนี้
5. ให้พรรคเพื่อไทย เลิกยินยอมให้นายทักษิณ ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการอันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์
6. ให้พรรคเพื่อไทยเลิกยินยอมให้นายทักษิณ ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการเป็นเจ้าของ ผู้ครอบครองผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการ การดำเนินงานของพรรคเพื่อไทย
7. ให้พรรคเพื่อไทยเลิกยอมให้นายทักษิณใช้ เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินสั่งการรัฐบาลให้ดำเนินการตามความต้องการ
8. ให้พรรคเพื่อไทย เลิกยินยอมให้นายทักษิณ ใช้เป็นเครื่องมือให้ได้มาซึ่งอำนาจปกครองประเทศโดยวิธีการที่มีได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้
เมื่อถามว่าคาดหวังว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยยุบพรรคเพื่อไทย เหมือนกับที่เคยยื่นยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า คาดหวังตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ ให้ศาลรัฐธรรมนูญโปรดสั่งการ ส่วนจะสั่งการหรือไม่เป็นดุลยพินิจของศาล
ถามอีกว่าการยื่นเรื่องนี้ ได้ไปปรึกษากับนายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ เพราะนายไพบูลย์ เป็นผู้เปิดเผยเรื่องนี้และแจ้งหมายต่อผู้สื่อข่าว นายธีรยุทธ กล่าวว่า สืบเนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีนายเศรษฐา ทวีสิน ศาลรัฐธรรมนูญย้ำมาโดยตลอดในคำวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้ถูกร้อง ชัดตามที่วิญญูชน หรือตามที่สาธารณชนรับรู้รับทราบ เมื่อได้อ่านคำวินิจฉัยแล้ว สิ่งที่ตนคิดจะเป็นไป อย่างที่ตนคิดหรือตนคาดการณ์แต่เพียงผู้เดียวหรือไม่ จึงจำเป็นต้องขอคำปรึกษากับผู้ที่มีความรู้ มีประสบการณ์มีคุณวุฒิ ซึ่งเห็นแต่นายไพบูลย์ ซึ่งเคยพบปะพูดคุยจึงปรึกษาในบางประเด็น ส่วนปรึกษากับนักกฎหมายคนอื่นหรือไม่ตนไม่ขอเปิดเผย
เมื่อถามอีกว่าหลักฐานที่ยื่นวันนี้มีรูปภาพหรือคลิปประกอบหรือไม่นั้น นายธีรยุทธ ระบุว่า ตนจะเสนอพยานบุคคล ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าคลิปเสียง เพราะหากเป็นคลิปเสียงรูปภาพหรือวีดีโอ จากที่นายไพบูลย์แสดงความเห็นไว้ว่า คลิปเหล่านั้นหากนำมาเผยแพร่โดยที่เจ้าตัวหรือผู้เกี่ยวข้องไม่ยินยอมจะผิดกฎหมาย
ถามอีกว่าพยานบุคคลคือ พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวช หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย หรือไม่ เนื่องจากเป็นผู้ออกมาเปิดเผยว่า ได้ไปพบกับนายทักษิณทีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ นายธีรยุทธ ออกตัวว่าไม่อาจก้าวล่วงศาล ซึ่งศาลเห็นอยู่แล้วว่าพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ ออกมาดำเนินการตามวิถีทางของตนเอง แต่ในส่วนพยานของตนจะใช้รายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งในรายงานเชื่อว่าจะมีรายละเอียด บุคคลหรือพยานเอกสารอื่นที่มั่นคงตามระบบราชการ โดยจะให้ศาลรัฐธรรมนูญ เรียกตัวพยานมาไต่สวน เพราะตามขั้นตอนศาลรัฐธรรมนูญ การไต่สวนมีความพิเศษยิ่งกว่าระบบศาล ยุติธรรมเนื่องจากมีอำนาจโดยตรงในการเรียกพยานต่างๆ จากที่ใดก็ได้ที่เห็นสมควร ซึ่งตนได้ชี้ช่องในคำร้องว่ามีรายงานชิ้นนี้อยู่ และมีเนื้อหาข่าว เชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะใช้ดุลยพินิจโดยตรง
เมื่อถามว่าวันนี้มีการเสนอชื่อพยานในคำร้อง หรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า ได้แจ้งกับศาล แต่ในชั้นยื่นคำร้องยังสงวนชื่อไว้อยู่ จะเปิดเผยหลังจากนี้ โดยมีพยานประมาณ 3-4 ปาก โดยไม่มีการทาบทามพยาน เนื่องจากคดีในลักษณะนี้ปรารถนาให้เป็นพยานบริสุทธิ์ ให้ศาลมีเมตตา หากติดต่อล่วงหน้าจะทำให้พยานไม่บริสุทธิ์ ส่วนศาลจะใช้อำนาจในการสั่งให้พยานมาไต่สวนหรือไม่ ก็เป็นดุลยพินิจของศาลเอง
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าปลายทางของคดีนี้คือการยุบพรรคใช่หรือไม่ นายธีรยุทธ ระบุว่า ยังไม่อาจทราบ แต่ปรารถนา แค่ว่าบริบทบางอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ กระทบสถาบันหลักถึง 2 สถาบันแล้ว จึงปรารถนาให้หยุดการกระทำเสียก่อน
เมื่อถามอีกว่ามีคลิปเหตุการณ์บ้านจันทร์ส่องหล้าหรือไม่ นายธีรยุทธ กล่าวว่า ไม่ขอก้าวล่วง คนที่ออกมาพูดเรื่องนี้ พร้อมปฏิเสธว่า ไม่ได้ร่วมมือกับหลายคนที่ไปยื่นองค์กรอิสระก่อนหน้านี้ และตนทำของตนคนเดียว และยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง และไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด เป็นการทำงานเงียบๆอยู่คนเดียว เนื่องจากการที่มาร้องเริ่มจากสำนักข่าวแห่งหนึ่งตั้งคำถามถึงความเห็นกรณียื่นคำร้อง ที่ผ่านมาเป็นเรื่องหยุมหยิมเพราะร้องทีละเรื่อง ซึ่งตนอยากให้มองเป็นจิ๊กซอ ถ้ามาผูกรวมกันจะเห็นอีกภาพ จึงกลายเป็นที่มาของคำร้องนี้ ไม่มีรับงานจากใคร เพราะตนก็ยื่นเงียบๆตั้งแต่ยื่นสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าจะถูกมองว่า รับงานพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ นายธีรยุทธ ยืนยันว่าไม่เคยพบกับพลเอกประวิตรแม้แต่ครั้งเดียว เรายังเป็นแค่คนตัวเล็กๆ แต่ได้เล่าให้นายไพบูลย์ฟังเรื่องจิ๊กซอว์ที่ตนเห็น โดยเฉพาะจากการเห็นการยุบพรรคไทยรักธรรม และพรรคก้าวไกล ซึ่งนายไพบูลย์ก็มองว่าเป็นไปได้
ขณะเดียวกันนายธีรยุทธ กล่าวว่า ใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลประมาณ 2-3 เดือน