พื้นที่ภาคอีสานในสนามการเลือกตั้ง นายก อบจ. เรียกได้ว่าเป็นหมุดหมายที่พรรคเพื่อไทยหวังปักธง เพื่อชิงพื้นที่จากเครือข่ายสีน้ำเงินคืน เห็นได้จากการลงพื้นที่หาเสียงทั้งจากนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร และในสัปดาห์หน้าผู้ช่วยหาเสียงเบอร์ใหญ่ อย่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะเดินสายหลายจังหวัดต่อจากลูกสาว
แต่นักวิชาการในพื้นที่ภาคอีสานมองว่า ศึกนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย โดย รศ.อวยชัย วะทา นักวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้
รศ.อวยชัย เปิดเผยว่า ภาพรวมพื้นที่การเมืองในภาคอีสาน เช่น อีสานตอนล่าง คือ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทยยังครองอยู่ ถัดมาคืออีสานตอนกลาง คือ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ยังดูก้ำกึ่งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย
ส่วนอีสานตอนบน คือ หนองบัวลำภู อุดรธานี เลย ยังเป็นพื้นที่พรรคเพื่อไทย แต่ มุกดาหาร สกลนคร นครพนม ถือเป็นพื้นที่ของพรรคภูมิใจไทย
หากไล่เรียงสนามท้องถิ่นที่น่าสนใจ ในมุมมองของ รศ.อวยชัย มองว่าคือ พื้นที่มหาสารคาม ซึ่งพรรคเพื่อไทยส่งนายพลพัฒน์ จรัสเสถียร น้องชายของนายยงยุทธ จรัสเสถียร ชนกับอดีตนายก อบจ.มหาสารคาม คนเก่า อย่างนางคมคาย อุดรพิมพ์ ที่แม้ครั้งนี้จะลงในนามอิสระ แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นเครือข่ายสายสีน้ำเงิน
เพราะสมัยที่แล้วนั้นลงสมัครในนามพรรคภูมิใจไทย เพื่อสานงานต่อ จากสามี นายยิ่งยศ อุดมพิมพ์ อดีตนายก อบจ.มหาสารคาม ที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตก่อนหน้านี้
รศ.อวยชัย บอกว่า สนามการเลือกตั้ง อบจ.มหาสารคาม นางคมคาย ยังถือว่า เป็นต่ออยู่มาก จากเครือข่ายในพื้นที่ รวมทั้งตัวของนางคมคาย ที่ทำงานพื้นที่เก่ง เข้าถึงประชาชน แต่ปัจจัยสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าต้องชนะให้ได้ แต่ส่วนตัวเชื่อว่า กระแสของนายทักษิณนั้นไม่เหมือนเดิมแล้ว ประกอบกับตัวผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย อย่างนายพลพัฒน์ ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของประชาชน และอ่อนพรรษาทางการเมือง
โดยสนาม อบจ.มหาสารคามครั้งนี้ เป็นการชนกันระหว่างพรรคเพื่อไทย และเครือข่ายสีน้ำเงิน อย่างเดียว ไม่มีตัวแปรกลุ่มอื่นมาแย่งคะแนน หากพรรคเพื่อไทย สามารถดึงคะแนนของนายทองหล่อ พลโคตร อดีต สส.ไทยรักไทย ที่ลงสมัครในนามพรรคพลังประชารัฐ สมัยที่แล้วมาได้ ก็อาจจะมีโอกาสบ้าง รวมทั้งอาจจะพอมีปัจจัยอื่นมาประกอบเช่น นโยบายเงินหมื่น เฟส 2 ที่จะเริ่มทยอยโอนในวันที่ 29 มกราคม
ส่วนอีก 2 จังหวัด เช่น นครพนม ที่วันนี้นางสาวแพทองธาร ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยลงพื้นที่ ช่วยนายอนุชิต หงษาดี สู้กับนางศุภพานี โพธิ์สุ จากทีมนครพนมร่วมใจ อดีตแชมป์ ลูกสาวของครูแก้ว นายศุภชัย โพธิ์สุ แกนนำพรรคภูมิใจไทย
รศ.อวยชัย เชื่อว่า นายศุภชัยนั้นสู้ตาย เพราะถือเป็นสนามรบสุดท้ายที่ต้องรักษาไว้ให้ได้ ซึ่งถือว่าได้เปรียบในแง่ของการเป็นคนในพื้นที่มานาน เป็นแต้มต่อ แต่พรรคเพื่อไทยก็มีจะมีผู้ช่วยหาเสียง อย่างนายทักษิณ ลงพื้นที่ต่อจากนางสาวแพทองธาร ทันที ก็น่าจะทำให้สนามนี้สู้ได้ และพอสูสีอยู่
แต่สนามที่ดูแล้วพรรคเพื่อไทยดูจะได้เปรียบ รศ.อวยชัย เห็นว่า น่าจะเป็นที่ศรีสะเกษ ซึ่งพรรคเพื่อไทยส่งนายวิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ สู้กับบ้านใหญ่ไตรสรณกุล คือ นายวิชิต ไตรสรณกุล อดีตนายก อบจ.คนเก่า และเป็นพ่อของนางสาวไตรสุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่สุดท้ายตัวชี้วัดทั้ง 3 สนาม จะอยู่ที่กระสุน ไม่ใช่กระแส
ส่วนที่นายทักษิณ มักจะแสดงความมั่นใจว่า ไปหาเสียงช่วงจังหวัดไหน พรรคเพื่อไทยก็ชนะหมด รศ.อวยชัย บอกว่า บางพื้นที่ จังหวัดไม่ไปก็ชนะอยู่แล้ว เช่น อุดรธานี ขณะที่อุบลราชธานี ที่ลงพื้นที่ไปก็เพราะยังมีความสูสีอยู่ เชื่อว่า ลงพื้นที่ไปเพื่อมีการเจรจากันกับคู่แข่ง
เมื่อถามว่า ในพื้นที่ที่พรรคเพื่อไทย ปะทะกับเครือข่ายบ้านสีน้ำเงิน จะมีการเจรจากันเหมือนสนามอื่นหรือไม่ รศ.อวยชัย มองว่า ขุนพลสำคัญที่เป็นคนใกล้ชิดของเครือข่ายสีน้ำเงิน ซึ่งลงแข่งนายก อบจ. ถือเป็นแม่ทัพ ที่ตัวเองมองว่า คงไม่มีใครยอมตัดหัวแม่ทัพ ขุนพลในพื้นที่ ไปให้กับนายทักษิณ
ทั้งนี้ หากพรรคเพื่อไทยเรียกคืนสนามท้องถิ่นจากเครือข่ายสีน้ำเงินไม่ได้ จะสะท้อนให้เห็นว่า นายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย เสื่อมมนต์ขลังแล้วหรือไม่ รศ.อวยชัย มองว่า มนต์ขลังเริ่มเสื่อมตั้งแต่นายทักษิณ กลับจากต่างประเทศ เห็นได้จากแม้พรรคก้าวไกลถูกยุบไปแล้ว คะแนนของผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล ก็ไม่ได้ไหลกลับไปยังพรรคเพื่อไทย