5 ก.พ. 68 นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน เปิดเผยในรายการเปิดโต๊ะข่าว ทางช่อง PPTV HD36 ประเด็นการตัดไฟแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยนายรังสิมันต์ กล่าวว่า การตัดไฟแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น ตัดไฟแล้วยังไม่จบ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อาศัยไฟฟ้าของไทยอาจต้องคิดใหม่ถ้าจะตั้งฐานเพิ่ม เพราะต้องใช้ทรัพยากรอื่น ๆ อีกมาก
นายรังสิมันต์ มองว่า ถ้ารัฐควบคุมอย่างอื่นเพิ่ม เช่น น้ำมัน อินเทอร์เน็ต น่าจะได้ผลมากขึ้น แต่แก็งคอลเซ็นเตอร์อาจจะอพยพไปอยู่ทางฝั่งกัมพูชา และใช้ทรัพยากรจากไทยได้เหมือนกัน
ประเทศไทยคงต้องร่วมมือกับหลายฝ่าย เช่น จีน กัมพูชา ลาว โดยเป็นการทำงานเชิงรุกและปราบปรามให้ได้ เพราะการมีอยู่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสร้างความเสียหายประมาณ 80 ล้านบาทต่อวัน ไม่ส่งผลดีต่อประเทศชาติ ทำให้เกิดความเสียหายมาก นี่คือวาระเร่งด่วนของชาติ
เมื่อถามว่าการตัดไฟ 5 จุด ครอบคลุมไหม นายรังสิมันต์ กล่าวว่า สายไฟที่มีอยู่เดิมที 21 จุด ยกเลิกสัญญาแล้ว 3 จุดเหลือ 18 จุด ดังนั้น คิดว่าคงจัดการถูกจุด แต่ไม่พอ เนื่องจากมีข่าวว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการสำรองน้ำมันมหาศาล ดังนั้น เราควรมีมาตรการจัดการเรื่องนี้เหมือนกัน และยังไม่ทราบว่าฝั่งอื่น ๆ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้พลังงานจากเรามากน้อยแค่ไหน ขอประเมินข้อมูลและศึกษาอย่างละเอียด ก่อนจะแนะวิธีการแก้ปัญหาฝั่งกัมพูชาต่อไป
เนื่องจากจริง ๆ แล้ว ก่อนจะมาฝั่งพม่า กัมพูชาก็เป็นแหล่งใหญ่อยู่เดิม และเขามีหลายสาขา ซึ่งที่เราจัดการก็อาจเป็นแค่สาขาเมียนมา แต่สาขาอื่นยังไม่ได้ทำลายโครงสร้างอย่างจริงจัง แค่ทำเป็นจุด ๆ ไป
ส่วนแก๊งคอลเซ็นเตอจะเปลี่ยนศูนย์กลางเป็นปอยเปตแทนหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตอนนี้ปอยเปตก็เป็นศูนย์กลางสำคัญแล้ว มีคนไทยถูกหลอกไปเยอะมาก ตนคิดว่า มาตรการที่ต้องทำไม่ใช่แค่ตัดไฟ เช่น กรณีฝั่งพม่าที่หลอกลวงนักท่องเที่ยวต่างชาติมาด้วย ทำลายการท่องเที่ยวของไทย และเกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ วิธีแก้ต้องทำหลายส่วน ทั้งตัดไฟ พลังงาน น้ำมัน ซีลชายแดน ทั้งช่องทางธรรมชาติและช่องทางอื่น
แต่ในส่วนของท่าข้ามที่มีเยอะ ถ้าหน่วยงานรัฐไม่มีประสิทธิภาพในการควบคุม ก็ต้องลดลงมา และให้หน่วยงานรัฐไปดำเนินการ เพราะทุกวันนี้ทั้งการเข้า – ออก ของสินค้า ของคน นั้นเสรีมาก นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนเป็นห่วงเพราะไม่รู้ว่าศุลกากรดูรายละเอียดขนาดไหน และเวลาส่งสินค้าอาจมียาเสพติดปะปนเข้ามาด้วย
ซึ่งรัฐควรมีมาตรการออกมาว่าจะทำอย่างไรให้ท่าข้ามเหล่านี้เข้มแข็ง ปลอดภัย ต้องตรวจเข้มอย่างจริงจัง และถ้ามีเครื่องมือไม่เพียงพอ ควรระงับไว้ก่อนไหม และถ้าจะเพิ่มประสิทธิภาพของชายแดน สิ่งที่ต้องทำ คือ
- เพิ่มคน
- เพิ่มงบประมาณ
- เพิ่มเครื่องมือ
- ปรับเปลี่ยนวิธีการ
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า มาตรการซีลชายแดน มีแค่การปรับเปลี่ยนวิธีการ จะเป็นการเพิ่มจุดอ่อนให้ภัยคุกคามอื่นด้วยหรือไม่ แต่ถ้าเพิ่มคน เพิ่มงบประมาณ เพิ่มเครื่องมือ เช่น โดรน กล้องวงจรปิด หรืออุปกรณ์ที่บางประเทศใช้ตรวจสอบชายแดน ก็อาจจะทำให้ชายแดนมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น
ส่วนการตัดไฟ จะทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนไหม นายรังสิมันต์ กล่าวว่า มีโอกาส ทุกนโยบายมีผลได้ - ผลเสีย แต่แก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้นสร้างความเสียหายให้ไทยมากเกินไป เมื่อเป็นแบบนี้ก็ต้องมีมาตรการที่ทำให้มันอ่อนแอที่สุด เพราะมันเป็นปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เราก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันคนไทย ถ้าอยากให้ผลกระทบเรื่องนี้น้อย ก็ต้องจบปัญหานี้ให้ไว
ส่วนการใช้ไฟในชเวก๊กโก ส่วนใหญ่เป็นไฟของการไฟฟ้าหรือไม่ นายรังสิมันต์ ตอบว่า ในปัจจุบันชเวก๊กโกอาจจะมี 2 ส่วน ส่วนแรกมีการต่อไฟจากจุดที่อาศัยอยู่ สองอาจจะอาศัยการปั่นไฟ แต่ทำได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง อาจทำให้ประสิทธิภาพของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในการหลอกลวงต่าง ๆ น้อยลง ซึ่งหากมีการตัดไฟ เราอาจได้เห็นภาพการเปิด - ปิดไฟน้อยลงหรือไม่ ก็คงต้องดูว่ามันเปิด – ปิด 24 ชั่วโมงไหม ถ้าใช่ แสดงว่าศักยภาพในการปั่นไฟของเขาสูงมาก
และเมื่อถามว่า นายรังสิมันต์ ได้ประเมินไหมก่อนออกมาเสนอเรื่องการตัดไฟว่าเมียนมาจะตอบโต้เราได้หรือไม่ นายรังสิมันต์ ตอบว่า เรามีภาษีที่ดีกว่าหลายอย่าง เนื่องจากเมียนมายังมีสงครามกลางเมือง และทหารเมียนมาร์ก็พูดชัดเจนว่าไม่สนับสนุนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การที่เราตัดไฟ คำถามคือ เขาจะเอาอะไรมาตอบโต้เรา เพราะทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกัน การตัดไฟจึงไม่น่าจะส่งผลอะไร
ส่วนการคาดหวังการพบกันระหว่างนายกแพทองธาร ชินวัตร กับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน นายรังสิมันต์ ตอบว่า ตนคาดหวังเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลในเรื่องของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต้องไปถึงการทำลายโครงสร้างของแก๊งนี้ โดยตนเชื่อว่าตำรวจจีนมีข้อมูลของพวกจีนเทา จีนมาเฟีย น่าจะเกือบทั้งหมด เราจะได้ดูว่ามีอะไรบ้างที่จะนำมาใช้เป็นโมเดลในการปราบปรามบรรดาจีนเทาที่อยู่ตามชายแดน ไทย – เมียนมา