จากความวุ่นวายกรณีการเสนอญัตติซึ่งฝ่ายค้านบรรจุญัติในการขออภิปรายนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพียงคนเดียว ทว่ามีชื่อของ “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามาอยู่ในญัตติดังกล่าวด้วย พร้อมระบุว่าเป็นการพยายามจะครอบงำพรรค หรือแม้กระทั่งระบุว่านายกฯ ยินยอมให้นายทักษิณเข้ามาครอบงำการบริหารประเทศ ทำให้ฝั่งประธานสภาฯ หรือแม้กระทั่งพรรคเพื่อไทย ระบุว่าการใส่ชื่อแบบนี้จะทำให้วุ่นวาย และขอให้นำชื่อนายทักษิณออกจากญัตติอภิปราย แต่ทางฝ่ายค้านยืนกรานจะใส่ชื่อ นายทักษิณ เข้าไปในญัตติ
กรณีดังกล่าว จึงทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมีชื่อ นายทักษิณ อยู่ในญัตติ หรือทำไมต้องยืนยันว่าต้องนำชื่อนายทักษิณออกจากญัตติดังกล่าว
นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวในรายการคุยข้ามช็อต Exclusive Talk PPTV HD36
"ก่อแก้ว" แนะฝ่ายค้านต้องฉลาด เชื่อพาดพิง "ทักษิณ" ไม่อภิปรายแบบพองาม
นายก่อแก้ว กล่าวว่า การนำชื่อนายทักษิณเข้ามาอยู่ในญัตติ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พรรคเพื่อไทย ปัญหาอยู่ที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ที่ระบุว่า การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจต้องยื่นอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ ไม่เคยระบุว่าอภิปรายบุคคลอื่นได้ เพราะนายทักษิณไม่ได้เป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี ฉะนั้นไม่สามารถยื่นอภิปรายนายทักษิณในญัตติไม่ได้
รวมถึงข้อบังคับสภาฯ ก็ระบุว่า การอภิปรายฯ ห้ามพาดพิงบุคคลภายนอก เพราะกฎหมายปัจจุบันไม่ได้ให้เอกสิทธิ์ไว้ หากอภิปรายพาดพิงบุคคลภายนอกแล้วเขาเสียหาย เขาสามารถฟ้องร้องได้
ซึ่งกรณีนี้เป็นการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากมีการเขียนว่าขออภิปรายนายทักษิณซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ประธานรัฐสภาก็เสี่ยงไม่ได้ ไม่กล้ารับไว้ เนื่องจากเป็นการอภิปรายในเชิงลบโดยธรรมชาติ กล่าวหา ซักฟอก กลัวจะโดนหางเลขด้วยหากมีการพูดเรื่องอะไรที่นายทักษิณรับไม่ได้ ฟ้องร้องขึ้นมา เวลาฟ้องผู้อภิปราย ก็สามารถฟ้องไปที่คนบรรจุญัตติ หรือประธานสภาฯ ได้ด้วย
เพราะฉะนั้นการที่ประธานรัฐสภาตีญัตติกลับไปให้ฝ่ายค้านแก้ไขเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว โดยหลักการฝ่ายค้านต้องไปใช้เทคนิคแก้ไขญัตติใหม่
นายก่อแก้ว กล่าวต่อว่า การอภิปรายจะต้องอภิปรายพาดพิงนายทักษิณก่อน แล้วค่อยพาดพิงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี เพราะมีการบอกว่านายทักษิณชี้นำสั่งการ ดังนั้นจะต้องมีการอภิปรายนายทักษิณก่อนอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้มีการใช้วิธีเลี่ยงแบบกลาย ๆ คือ เวลาจะอภิปรายพาดพิงใครจะไม่มีการเอ่ยชื่อ เพราะฉะนั้นเวลาจะยื่นญัตติ ฝ่ายค้านต้องฉลาด
นอกจากนี้ เวลาซักฟอกหัวชนฝาแบบนี้ ประธานสภาฯ จะไม่กล้าเสี่ยง ไม่รับ และจะไม่ได้อภิปราย วิธีแก้คือให้นำชื่อนายทักษิณออก และไปเขียนว่ายินยอมให้บุถคคลใดบุคคลหนึ่ง ไม่ระบุชื่อได้ และเมื่ออภิปรายก็ให้พอดีพองาม
นายก่อแก้ว ระบุว่า ถ้าพาดพิงในเชิงเสียหาย สส.พรรคเพื่อไทย ก็ไม่ยอม เพราะยอมรับนับถือนายทักษิณในฐานะผู้ก่อตั้งพรรค และผู้ทำประโยชน์ให้กับประเทศมากมาย แต่ถ้าพาดพิงให้เห็นภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อรักษาบรรยากาศการอภิปรายก็โอเค แต่โดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าจะเป็นการอภิปรายแบบไม่พองาม
ฝ่ายค้านไม่แก้ญัตติ เพราะหวังผลให้เกิดปัญหา?
นายก่อแก้ว กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจสามารถระบุตรงไปยังกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งที่นายกฯ ดูแลโดยตรงได้ แต่อย่าลืมว่านายกฯ กระจายกระทรวงให้รองนายกฯ 5 - 6 คนดูแล หน่วยงานที่นายกฯ ดูแลโดยตรงมีไม่กี่หน่วยงาน เพราะฉะนั้นฝ่ายค้านต้องผูกผมให้มีข้อจำกัดในการอภิปราย และเมื่ออภิปรายนอกขอบเขตที่มี สส.ฝ่ายรัฐบาลก็ต้องประท้วง เกิดปัญหาในสภา
เพราะฉะนั้นการที่ฝ่ายค้านยื่นญัตติมาแบบนี้ ส่วตนตัวมองว่าฝ่ายค้านไม่ได้หวังผลอะไรทั้งสิ้น แต่หวังผลให้มีปัญหาในการอภิปราย เช่นกรณีนี้ ซึ่งถ้าพรรคฝ่ายค้านไม่แก้ และยืนกรานจะยื่นญัตติในลักษณะนี้ สุดท้ายประธานฯ ก็ไม่บรรจุญัตติ พอไม่บรรจุญัตติ ก็ไปกล่าวหาประธานสภาฯ ว่ารับงานมา ปิดปากฝ่ายค้าน ล้มการอภิปราย ไม่ให้ฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาล
นายก่อแก้ว กล่าวต่อว่า พรรคฝ่ายค้านแค่ไปแก้ญัตติเท่านั้น ประธานสภาฯ ยินดีอยู่แล้วที่จะบรรจุญัตติ เพราะเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านที่ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบการทำหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล ประธานสภาฯ ไม่เกี่ยวอยู่แล้ว ท่านเป็นคนกลางที่ควบคุมการประชุมให้อยู่ในระเบียบ อยู่ในกฎเกณฑ์ มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
"วิโรจน์" เปิดข้อมูลเชิงลึก "พิเชษฐ์" คือผู้ติดใจญัตติ เชื่อการอภิปรายเป็นเรื่องประชาชนควรรู้
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีประธานสภาผู้แทนราษฎรถูกฟ้องในกรณีบรรจุญัตติ วันนี้อย่าเอาจินตนาการมาคุยกัน เอาประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในอดีตมาคุย อย่าเอาความกลัวมาคุย ส่วนตัวมองว่ามีเรื่องที่ประธานสภาฯ ควรกลัว แต่กลับไม่กลัว เช่น มีคนพาไปพบประธาน ป.ป.ช. เรื่องแบบนี้ควรกลัว แต่กลับไม่กลัว แต่เรื่องการยื่นญัตติที่เคยมีตั้งแต่นิติบุคคล บุคคลธรรมดา บุคคลภายนอก ก็เคยมีมาแล้ว ทำไมไม่กลัว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้มีข้อมูลเชิงลึก คือ แต่เดิมตนอยู่ในเหตุการณ์กับ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน โดย ประธานสภาฯ โทรมาหานายณัฐพงษ์ ระบุว่า ส่วนตัวท่านไม่ติดอะไร แต่คนที่ติดใจคือ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย จึงขอให้กลับไปทบทวนญัตติ
เราจึงถามว่า มีข้อบังคับอะไรที่ห้าม เช็กแล้วก็ไม่มี ตามประวัติศาสตร์ทางการเมืองก็เคยมีการบรรจุ เช่นในปี พ.ศ. 2529 เป็นต้น ซึ่งญัตติใด ๆ ถ้าไม่ได้ใช้คำหยาบคายก็สามารถบรรจุได้ อย่างถ้าเปลี่ยนไปใช้คำว่า “สทร” ก็ไม่ได้ เพราะไม่สุภาพ จึงใช้ชื่อ “นายทักษิณ” ไม่ได้เติมสรรพนามที่ไม่สุภาพเข้าไป และในญัตติดังกล่าวก็ไม่มีการกล่าวหา หรือทำให้นายทักษิณเสียหายแต่อย่างใด
ส่วนตัวมองว่า ประชาชนควรจะรู้ หากฝ่ายค้านมีหลักฐานข้อมูลถึงสารตั้งต้นของหายนะที่เกิดขึ้นภายในเงื้อมมือของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ แพทองธาร ชินวัตร ว่า สารตั้งต้นมาจากการเกี่ยวดองหนองยุ่ง การแทรกแซงกลไกระบบราชการ การเข้ามาแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ การข้องเกี่ยวแทรกแซงอำนาจของนายกรัฐมนตรี เข้ามามีอิทธิพลเหนือนายกรัฐมนตรีอย่างไร ถ้าอย่างนั้นก็เป็นสิ่งจำเป็น
"ก่อแก้ว" พร้อมปกป้อง "ทักษิณ" แนะอย่าสร้างเงื่อนไขทำให้เกิดความปั่นป่วนในสภาฯ
นายก่อแก้ว กล่าวว่า ต้องอย่าลืมว่ากฎหมายปัจจุบันไม่เหมือนในอดีต ไม่มีการกำหนดกฎหมายยิบย่อยเหมือนสมัยนี้ หลายกรณีเกิดปัญหาจากกฎหมายยุคใหม่ คือ รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ซึ่งระบุว่ายื่นอภิปรายได้เฉพาะรัฐมนตรีรายบุคคลหรือคณะรัฐมนตรี ไม่มีการพูดถึงบุคคลอื่น เพราะฉะนั้นหากจะยื่นอภิปรายต้องระบุเฉพาะรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีเท่านั้น เหมือนกับการอภิปรายในสภาเช่นกัน
เรื่องแบบนี้ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง เป็นการกล่าวหานายกรัฐมนตรี และพ่อของนายกรัฐมนตรี ซึ่งการกล่าวหาก็ต้องพูดเชิงลบ ต้องด่า ซึ่งกรณีอภิปรายในปี 2529 นั้นไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการผิดจริยธรรมเหมือนตอนนี้ หากประธานสภาฯ บรรจุไป แล้วฝ่ายค้านอภิปรายพาดพิงนายทักษิณในเชิงเสียหาย ซึ่งบางอย่างหากเกินที่จะรับได้ เกิดสั่งให้ฟ้องขึ้นมา แล้วฟ้องพ่วงประธานสภาฯ ไปด้วย ประธานสภาฯ ก็จะซวยไปด้วย
นายก่อแก้ว กล่าวต่อว่า ตนไม่ใช่ประธานสภาฯ ถ้าตัดสินใจแบบนี้แล้วตนก็พยายามอธิบายเหตุผลว่าที่ตัดสินใจแบบนี้เพราะอะไร ตนเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพราะผู้ที่ถูกอภิปรายคือหัวหน้าพรรคของตน ซึ่งตนก็พร้อมปกป้องอยู่แล้ว และเชื่อว่านายกฯ พร้อมชี้แจงอยู่แล้ว ข้อกล่าวหา 6 ข้อนั้นไม่มีอะไรน่ากังวลใจ อธิบายได้ทุกเรื่อง
เพียงแต่ว่าหากพุ่งเป้าไปยังนายทักษิณ จะเกิดปัญหาทั้งทางข้อกฎหมายและเกิดความปั่นป่วนในสภาแน่นอน ซึ่งตนก็จะเป็นคนหนึ่งที่ประท้วงหากพาดพิงถึงนายทักษิณในลักษณะเสียหาย ตนอยู่ในพรรคเพื่อไทยมาด้วยความเชื่อมั่น แนะนำว่าให้เปลี่ยนไปใช้คำว่า ยอมให้ญาติผู้ใหญ่ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกชี้นำ ก็ได้ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าคุณพูดถึงใคร
นายก่อแก้ว กล่าวว่า เวลาพาดพิงผู้ที่ไม่อยู่ในสภาก็ไม่สามารถชี้แจงอะไรได้ ใช้ได้เพียงสิทธิ์ตามกฎหมายในการฟ้องร้อง การที่บอกว่าผู้ถูกพาดพิงสามารถให้ประธานสภาฯ ประชาสัมพันธ์ชี้แจงได้ แต่หากด่า 5 วันจะชี้แจงอย่างไร การปรท้วงมีทั้งมีเหตุผลและไม่มีเหตุผล มีทั้งหน่วยกล้าตายเอาใจนายก็เยอะ พวกนี้ไปห้ามไม่ได้เพราะสิทธิ์ของเขาในการประท้วง
หากต้องการอภิปรายยานกฯ ให้นำสิ่งที่ผิดพลาดมาอภิปรายให้ได้ตอบ แต่ถามว่าไปสร้างเงื่อนไขให้เกิดความปั่นป่วนในสภาทำไม เมื่อปั่นป่วนแทนที่จะได้ทำหน้าที่ก็ไม่ได้ทำ
"วิโรจน์" มองชื่อ "ทักษิณ" แตะได้ หากประท้วงเอาใจนาย จะเป็นการประจานพรรคเพื่อไทยเอง
นายวิโรจน์ กล่าวว่า หากคิดเช่นนี้ อะไรจะเกิดได้ก็เกิด ประเทศนี้เกิดอภินิหารขึ้นได้ตลอดเวลาโดยเฉพาะอภินิหารเชิงลบต่อฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งเคยเกิดขึ้นกับ นปช. มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่หน ดังนั้นจึงต้องเกิดเจตจำนงทางการเมือง ซึ่งตอนนี้ทุกคนจินตนาการไปก่อนแล้วว่าจะเป็นการอภิปรายนายทักษิณ ชินวัตร แต่ตนยืนยันได้ว่าการอภิปรายนั้นโฟกัสไปที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร
ทว่าต้นตอของสาเหตุหลัก หลักฐานของการเข้ามาแทรกแทรงข้อราชการนั้น เกิดสมมติฐานว่าเกิดขึ้นจากบุคคลที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ล่ะ? ไม่อยากรู้หรือว่าทำไมหายนะแบบนี้ ทำไมแพทองธาร ชินวัตร ถึงตัดสินใจแบบนี้ มีเชือกมีสายมีใครโยงใยหรือไม่ ก็ต้องสาวไปให้ถึง
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ในข้อบังคับของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร รัฐธรรมนูญมาตรา 124 ไม่ได้มีประโยคไหนที่ห้ามอภิปรายหรือตั้งญัตติถึงบุคคลภายนอก แต่พูดถึงเรื่องเอกสิทธิ์ หมายถึง หากตนกับนายก่อแก้วอภิปรายกล่าวหากันไปกันมาในสภานั้นจะฟ้องร้องกันไม่ได้ เพราะถือเป็นสมาชิกเหมือนกัน แต่ข้อบังคับที่ 39 ระบุว่า บุคคลภายนอกนั้นฟ้องได้ ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครองเท่านั้นเอง ซึ่งหากสิ่งที่พูดเป็นความสุจริตและเป็นข้อเท็จจริงก็ได้รับการยกเว้นอยู่ดี
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ดูเหมือนว่าชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” จะกลายเป็นชื่อที่เอ่ยถึงไม่ได้ เรื่องญัตติตนเชื่อว่าผู้นำฝ่ายค้านจะไปหารือเรื่องญัตติกับประธานสภาฯ ต่อไป ตนตกผลึกแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมาจากความกลัวของประธานสภาฯ มาจากความหวาดระแวงในเรื่องที่เป็นหน้าที่ของตน แต่ตอนไปพบประธาน ป.ป.ช. ควรจะกลัว แต่กลับไม่กลัว คำถามคือเราจะแก้ไขความกลัวของประธานสภาผู้แทนราษฎรอย่างไร ก็ไปว่ากัน
ประเด็นคือ ทำไมเมื่อเอ่ยชื่อบุคคลภายนอกในการอภิปรายไม่ไว้วางใจถึงเอ่ยไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ราเกซ สักเสนา เคยถูกพูดถึงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ชื่อบริษัทต่าง ๆ เช่นกรณีจำนำข้าว พูดถึงบริษัทสยามอินดิก้า จริงเท็จประการใดก็ว่าการไป ฟิลลิป มอริส ก็ถูกพูดถึงไม่ใช่หรือ
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า การประท้วงหากประท้วงด้วยเรื่องไร้สาระ ประท้วงด้วยเรื่องที่ไม่สมควร ด้วยเรื่องเอาใจหัวหน้า เอาใจนายใหญ่ ก็เป็นการประจานพรรคเพื่อไทยเอง ก่อนหน้านี้ นายก่อแก้วเองก็พูดว่าในองค์กรก็มีคนที่ประท้วงเพื่อเอาใจนาย และไปห้ามเขาไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นก็ห้ามประชาชนไม่ให้ไปวิพากษ์วิจารณ์พรรคเพื่อไทยไม่ได้ เช่นกัน พวกสมุนบริวารเหล่านี้แม้ไม่เอ่ยชื่อนายทักษิณ ก็กดปุ่มประท้วงเอาใจนายอยู่ดี
เราต้องตั้งหลักก่อนว่า การพูดชื่อ “ทักษิณ” ในการอภิปรายสามารถพูดได้ ซึ่งเขาก็มีสิทธิ์ประท้วง ไม่ว่า ตนเคยพูดแค่ว่าให้พรรคเพื่อไทยกลับไปดูหน้าเว็บไซต์ของตนเองว่า สส. ที่ทำหน้าที่ประท้วงในยุค พลเอกประยุทธิ์ เขียนไว้ดีมาก ซึ่งสุดท้ายก็จะประจานตัวเองว่าสิ่งที่ประท้วงได้สาระหรือไม่ได้สาระ ประชาชนจะเป็นคนตัดสิน
"ก่อแก้ว" แนะฝ่ายค้านพูดให้พองาม
นายก่อแก้ว กล่าวว่า แนะนำว่าพรรคฝ่ายค้านพยายามพูดอะไรให้พองาม เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจคือการกล่าวหาเขา ตัวนายกฯ ถูกหล่าวหา และตัวนายทักษิณก็จะถูกกล่าวหา ถ้าญัตติเป็นแบบนี้ ซึ่งการกล่าวหา นายกฯ ดำรงตำแหน่งในสภา ถูกกล่าวหาได้เต็มที่ตามระบบ แต่พ่อไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในสภา ไม่มีโอกาสชี้แจง และการอภิปรายติดกันหลายครั้งหลายวัน จะทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งเชื่อว่าเป็นแบบนั้น การมาชี้แจงในภายหลังไม่เหมือนกับการมาชี้แจงในสภา
ส่วนตัวมองว่าพรรคประชาชนเป็นพรรคที่ทำงานได้อย่างสร้างสรรค์ ชื่นชมหลายคน แต่เรื่องลงญัตติไม่ไว้วางใจ เป็นญัตติที่ก่อให้เกิดข้อกล่าวหา เกิดความเสียหายเกิดความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงได้ ซึ่งตนเป็นห่วงทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้ถูกพาดพิงที่เป็นบุคคลภายนอก และคนที่พาดพิงไปกล่าวอะไรที่เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอกก็สามารถโดนฟ้องได้ ซึ่งบานปลายทั้งสองฝ่าย ตนไม่อยากให้เกิดบรรยากาศแบบนั้น
นายก่อแก้ว กล่าวต่อว่า ยิ่งการนำเนื้อหาจากสื่อ ใครจะยืนยันได้ว่าข้อเท็จจริงนั้นคือความจริง สิ่งเหล่านั้นอาจปรากฏบนสื่อแต่เป็นข้อเท็จก็ได้ ซึ่งเวลากล่าวหาก็ทำให้เจ้าตัวเสียหายอยู่แล้ว
เส้นแบ่งระหว่างข้อจริงกับข้อเท็จนั้นไม่มีใครตอบได้ เวลาพูดมาคุณพูดชี้นำให้เขาเสียหายแล้ว แต่คนที่ถูกพาดพิงเสียหายไปแล้ว พูดไม่ได้ โดยหลักการต้องไม่เกิดเหตุแบบนี้ ยิ่งกรณีชั้น 14 ที่เลือกไม่ยื่นอภิปราย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง แต่ไปเลือกอภิปรายนายกฯ ซึ่งมาคนละช่วงเวลา เป็นการดึงให้นายกฯ เสียหาย ก็ไม่แฟร์
"วิโรจน์" ชวนติดตามประชุมสภาฯ แย้มพาดพิง "ทักษิณ" เฉพาะข้อเท็จจริงบนหน้าสื่อ
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตนคิดว่าสังคมกังวลชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” มากเกินไป และหากพาดพิงแต่เป็นข้อเท็จจริง คุณจะกลัวอะไร อย่างกรณีได้รับสิทธิประโยชน์ซึ่งปรากฏตามหน้าสื่อมวลชนต่าง ๆ อย่างเปิดเผย สมมติว่าเป็นข้อเท็จจริงที่โยงใยไปถึงตัวนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่ได้เสียหาย ตนก็มองว่ามีคนประท้วงอยู่ดี
ตนยืนยันได้ว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องการพยายามอภิปรายให้มีความสงบเรียบร้อย ตั้งแต่ครั้งพรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล มาจนถึงพรรคประชาชน อภิปรายในเชิงเนื้อหาสาระอยู่แล้ว
การพาดพิงถึงนายทักษิณ โดยหลัก ๆ ที่ตนทราบ คือ จะพาดพิงเฉพาะที่เป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามสื่อสาธารณะ หรือไม่ก็มีหนังสือเอกสารยืนยันตามข้อเท็จจริง ไม่มีที่อยู่ดี ๆ ขึ้นมากล่าวหาใส่ร้าย ตนยืนยันได้ว่าไม่มี
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า หากเป็นข้อเท็จจริงและเกิดการประท้วง เขามีสิทธิ์ประท้วง แต่ประชาชนจะเป็นคนตัดสินเองว่าจุดนี้นายทักษิณเสียหายตรงไหน หรือประท้วงทำไม เพื่อประโยชน์อะไร ตรงนั้นเป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะวิพากษณ์วิจารณ์
ส่วนกรณีของชั้น 14 คำถามที่ว่าทำไมถึงไม่ยื่นอภิปรายญัตติไม่ไว้วางใจนายทวี แต่ไปยื่นนายกฯ นั้น คนอภิปรายต้องมีเหตุผล ซึ่งประเด็นที่นายก่อแก้วพูดนั้นดีมาก ประชาชนที่ฟังอยู่สงสัยไหมว่าทำไมกรณีของนายทักษิณไม่อภิปราย พ.ต.อ.ทวี นั้น แสดงว่าต้องมีอะไรอยู่ในกอไผ่ ให้ติดตามในการอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อไป
นายวิโรจน์ กล่าวว่า หากเปรียบเทียบผู้นำต่อผู้นำ เคยเห็น จอร์ช ดับเบิลยู บุช ผู้พ่อ เข้ามาแทรกแซงเข้ามาทำอะไรในแบบที่นายทักษิณ ทำหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้ว บทสรุปให้ไปดูที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ อย่าเพิ่งกังวลไปก่อน ตนยืนยันว่าสิทธิในการอภิปรายก็เป็นของ สส.ฝ่ายค้าน สิทธิในการประท้วง เป็นของ สส.ฝ่ายรัฐบาล แต่ข้อบังคับที่ 177 คนที่ชี้แจงจะต้องเป็นผู้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็คือตัวนายกรัฐมนตรี