วันที่ 26 มี.ค.2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์รับคำร้องไว้พิจารณาในคดีที่ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องของ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร และสมาชิกวุฒิสภารวม 42 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะประธานกรรมการคดีพิเศษ ผู้ถูกร้องที่ 1 และพ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในฐานะรองประธานกรรมการคดีพิเศษ ผู้ถูกร้องที่ 2 ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) เป็นเหตุให้ความ เป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เสนอเรื่องขอให้ตรวจสอบกระบวน การเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ต่อคณะกรรมการคดีพิเศษ เพื่อมีมติให้ การกระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ 2547 และที่แก้ไข เพิ่มเติม มาตรา 21
วรรคหนึ่ง (2) เป็นการแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา อันเป็น การกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจ และฝ่าฝืนหลักนิติ ธรรม โดยศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่า กรณีเป็นไปตาม รัฐธรรม นูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และพ.ร.ป.ว่าด้วย วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 7 (4) และให้ผู้ถูกร้องทั้งสองยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 54
ส่วนกรณีขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสองหยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82รรคสองเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องยังไม่ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่ามีกรณีตามที่ถูกร้อง จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ในชั้นนี้ยังไม่สั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสอง หยุดปฏิบัติหน้าที่ และแจ้งให้คู่ กรณี ได้แก่ ประธานวุฒิสภา และนายภูมิธรรม ผู้ถูกร้องที่ 1และ พ.ต.อ ทวี สอดส่อง ผู้ถูกร้องที่ 2 ทราบ