นายกมล รอดคล้าย สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะกรรมาธิการการศึกษาของวุฒิสภา แถลงข้อเสนอถึงรัฐบาลให้พิจารณาปรับลดความช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่ประเทศกัมพูชา หลังเกิดเหตุรุนแรงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนและนักเรียนในพื้นที่ชายแดน
นายกมล ระบุว่า ปัจจุบันไทยให้ความร่วมมือ และช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มบุตรหลานแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในไทย ทั้งที่มีและไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ เด็กด้อยโอกาส ผู้ย้ายถิ่นฐาน และเด็กเปราะบาง
ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้พันธกรณีตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก โดยไทยมีเด็กในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานกว่า 6.3 ล้านคน และมีเด็กต่างด้าวถูกกฎหมายประมาณ 180,000 คน ขณะที่เด็กตามแนวชายแดนส่วนใหญ่จากกัมพูชาและลาว ต้องใช้งบอุดหนุนรายหัวรวมอย่างน้อย 837 ล้านบาทต่อปี เฉพาะระดับประถมศึกษา
หากรวมระดับสูงกว่านี้ งบประมาณจะสูงขึ้นอีก โดยเฉลี่ย 20,000–30,000 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งมากกว่าหลักปฏิบัติของหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ที่ให้สิทธิเรียนเฉพาะเด็กเข้าเมืองถูกกฎหมาย แต่ไทยกลับดูแลเด็กต่างด้าวทั้งถูกและผิดกฎหมาย
นายกมล เสนอว่า ควรเริ่มปรับลดความช่วยเหลือจากประเทศกัมพูชาก่อน และจำกัดการดูแลเฉพาะเด็กที่เข้าเมืองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะตัดความช่วยเหลือทั้งหมด เป็นการจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และความมั่นคงของชาติ
ด้าน นายวิวัฒน์ รุ่งแก้ว สมาชิกวุฒิสภา ตั้งข้อสังเกตว่า จากข้อมูลทะเบียนนักเรียนกัมพูชาที่มาเรียนในไทย พบความไม่สอดคล้องกันระหว่างสถานะผู้ปกครองในระบบ กับข้อเท็จจริงที่ผู้ปกครองยังพำนักในกัมพูชา
จึงควรตรวจสอบว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อย่างเข้มงวดหรือไม่ เพราะหากรับนักเรียนจากครอบครัวที่ยังทำมาหากินอยู่ต่างประเทศ เท่ากับใช้ภาษีคนไทยโดยไม่เหมาะสม โดยเฉลี่ยนักเรียนหนึ่งคนใช้งบประมาณกว่า 30,000 บาทต่อปี