วันที่ 31 ตุลาคม 2568 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเกี่ยวกับคดีสำคัญ รวมจำนวน 2 เรื่อง
เรื่องที่ 1 กรณีกล่าวหา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้กระทำการในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในการพิจารณาคัดเลือกบุคคลให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยมิชอบ จากการที่ น.ส.แพทองธาร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้กระทำการในอดีตในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยให้ความเห็นชอบหรือละเว้นการพิจารณาให้ความเห็นชอบในการคัดเลือกนายพิชิต ชื่นบาน ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ซึ่งบุคคลดังกล่าวเคยต้องคำสั่งศาลฎีกาว่าได้กระทำผิดกฎหมาย อันเป็นการกระทำที่เข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าวของ น.ส.แพทองธาร เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในขณะที่ยังไม่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงมิใช่เป็นการกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 28 (1) ที่ประชุมจึงมีมติไม่รับคำกล่าวหาไว้พิจารณา
ส่วนเรื่องที่ 2 กรณีกล่าวหานายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวก ร่วมกันแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายสำหรับเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และรายจ่ายตามข้อผูกพันที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย และเข้าไปมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมีการปรับลดงบประมาณของสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท แล้วนำไปเพิ่มเป็นรายจ่ายงบกลาง เพื่อนำไปใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล โดยไม่ได้ตั้งงบประมาณชดเชยให้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
การกระทำของนายเศรษฐา และคณะรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในกรณีดังกล่าว จึงเข้าข่ายเป็นการร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 9 และมาตรา 20 วรรคแรก (5) โดยมีเจตนาที่จะนำงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวไปใช้ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ได้ประกาศหาเสียงไว้ เพื่อมุ่งสร้างความนิยมทางการเมือง จนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ ซึ่งอาจมีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 โดยให้ดำเนินการไต่สวนบุคคลหรือคณะบุคคล ประกอบด้วย 1. นายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2. คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของนายเศรษฐา ที่เข้าร่วมประชุมและมีมติเห็นชอบกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2567 3. นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายกรณินทร์ กาญจโนมัย รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ในฐานะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอขอปรับลด หรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐจำนวน 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท
สำหรับกรณีผู้ถูกร้องรายอื่น คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้ 1. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวน เนื่องจากขณะนั้นผู้ถูกร้องยังไม่ได้เข้าดำรงตำแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแปรญัตติเพื่อปรับลด ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงรายการหรือจำนวนในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามที่มีการกล่าวหา
นอกจากนี้ข้อกล่าวหาที่ 2 กรณีกล่าวหาว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กับพวก ได้ร่วมกันแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 1,256,710,300 บาท อันเป็นการเข้าไปมีส่วนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติในประเด็นข้อกลาวหานี้ว่า จากการสอบสวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องได้ร่วมกันแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 1,256,710,300 บาท ตามที่มีการกล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ยุติการสอบสวนทางลับ