ในสถานการณ์การสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครน นอกจากตัวละครหลักสองฝ่ายที่ปะทะกันโดยตรง อีกหนึ่งในตัวละครที่สำคัญคือ “เบลารุส” ซึ่งยืนหยัดในฐานะพันธมิตรที่สำคัญของรัสเซีย ที่ทำให้ปูตินสามารถส่งกองกำลังบบุกยูเครนจากเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือได้
นอกจากนี้ ยังเพิ่งมีข่าวว่า เบลารุสลงประชามติ เห็นชอบ แก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ให้ประเทศสามารถครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ได้ หลังดำรงสถานะเป็น “รัฐไร้นิวเคลียร์” มานานกว่า 30 ปี
เมื่อรัสเซียบุกยูเครน ประเทศใดบ้างให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน
สหรัฐฯ เผย เบลารุสเตรียมส่งกำลังทหารช่วยรัสเซียบุกยูเครน
เบลารุสผ่านประชามติแก้รัฐธรรมนูญ เพิกถอนสถานะ "รัฐไร้นิวเคลียร์"
โดยอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ประธานาธิบดีเบลารุสบอกว่า หากสถานการณ์การปะทะกันระหว่างรัสเซีย-ยูเครนเลวร้ายลง มี “คนนอก” มายุ่งเกี่ยว เขาสามารถขอให้รัสเซียคืนอาวุธนิวเคลียร์ให้กับเบลารุสได้
“หากชาติตะวันตกส่งอาวุธนิวเคลียร์ไปยังโปแลนด์หรือลิทัวเนีย ไปยังพรมแดนของเรา ผมจะติดต่อปูตินเพื่อขออาวุธนิวเคลียร์ที่ผมเคยมอบให้โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ คืนมา” ลูกาเชนโกกล่าว
นอกจากนี้ การลงประชามติปลดสถานะรัฐไร้นิวเคลียร์ของเบลารุส จะเปิดทางให้ความร่วมมือทางทหารกับรัสเซียแข็งแกร่งขึ้น จะทำให้รัสเซียสามารถส่งกองกำลังไปยังดินแดนเบลารุสภายใต้ข้ออ้างของการฝึกซ้อมทางทหารได้ และจากนั้นก็จะส่งกองทัพเข้าสู่ยูเครนเพื่อบุกโจมตีต่อไป
ประเด็นที่น่าสังเกตจากเรื่องนี้คือ ทำไมเบลารุสจึงเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นของรัสเซียถึงขนาดนี้ เพราะเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงกัน หรือมีอะไรซับซ้อนกว่านั้น
เข้าใจประวัติศาสตร์เบลารุส
เรื่องแรกที่ต้องทำความเข้าใจคือ เบลารุส มีประวัติศาสตร์คล้ายคลึงกับประเทศแถบยุโรปตะวันออกอื่น ๆ คือ “เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต” มาก่อน เมื่อโซเวียตล่มสลายในปี 1991 จึงค่อยมีเอกราชของตัวเอง
ประการต่อมา เบลารุสที่ได้เอกราช มีพรมแดนติดกับรัสเซียโดยตรง ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่า รัสเซียมีพรมแดนติดกับประเทศอื่นหลายสิบประเทศ หากนับเฉพาะด้านที่ติดกับยุโรป ก็จะมีนอร์เวย์ ฟินแลนด์ เอสโตเนีย ลัตเวีย เบลารุส และยูเครน
ซึ่งใน 6 ประเทศข้างต้น มีเพียงฟินแลนด์ เบลารุส และยูเครนเท่านั้น ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของนาโต (NATO) หรือหรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรด้านการทหาร ให้ประเทศสมาชิกให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันกรณีที่สมาชิกถูกโจมตีด้วยอาวุธ ซึ่งนาโตนั้นถูกก่อตั้งมาเพื่อ “รับมือโซเวียตโดยเฉพาะ”
เท่ากับว่า เพื่อนบ้านทางตะวันตกของรัสเซียครึ่งหนึ่ง เป็นสมาชิกของกลุ่มนาโตที่ต่อต้านรัสเซีย ทำให้รัสเซียต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษา “ด่านหน้าบ้าน” ของตนไว้ ไม่ให้หลายเป็นส่วนหนึ่งของนาโต ซึ่งก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ยูเครนถูกบุกในครั้งนี้
ขณะที่ประวัติศาสตร์ภายในของเบลารุสเองนั้น ช่วงก่อนปี 1994 หรือก่อนที่ลูคาเชนโกจะเป็นประธานาธิบดี เบลารุสมีนโยบายคล้ายอดีตสมาชิกโซเวียตอื่น ๆ คือพยายามเชื่อมสัมพันธ์กับชาติตะวันตก และเว้นระยะห่างจากรัสเซีย
แต่เมื่อลูคาเชนโกขึ้นสู่อำนาจ และดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศมาตลอดเกือบ 30 ปี ความสัมพันธ์ก็เริ่มขยับมาทางรัสเซียมากขึ้น
ลูคาเชนโกคนนี้ เป็นอดีตนายทหารสมัยสหภาพโซเวียตยังไม่ล่มสลาย แต่ออกจากการเป็นทหารมาดำรงตำแหน่งรองประธานกลุ่มฟาร์มของรัฐในปี 1982 และในปี 1987 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการฟาร์มของรัฐโกโรเดตส์
ในปี 1990 ลูคาเชนโกได้รับเลือกให้เป็นรองสภาสูงสุดของสาธารณรัฐเบลารุส หลังจากได้รับชื่อเสียงในฐานะผู้ต่อต้านการทุจริตที่มีคารมคมคาย
ปลายปี 1993 เขากล่าวหาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลเบลารุส 70 คน รวมทั้งประธานสูงสุดของสหภาพโซเวียต สตานิสลาฟ ชุชเควิช และนายกรัฐมนตรี วยาเชสลาฟ เคบิช เรื่องการทุจริตรวมถึงการขโมยเงินของรัฐเพื่อจุดประสงค์ส่วนตัว
จนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 1994 ที่มีผู้ลงสมัคร 6 คน เขาชนะไปด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 45% ขณะที่ผู้ลงสมัครคนอื่นมีคะแนนสูงสุดที่ราว 17% เท่านั้น
ลูคาเชนโกเคยประกาศว่า “ผมไม่ได้อยู่ฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา แต่อยู่ฝ่ายประชาชน ต่อต้านผู้ที่ปล้นและหลอกลวงพวกเขา”
กระนั้น ลูคาเชนโกกลับถูกกล่าวขานว่าเป็น “เผด็จการคนสุดท้ายของยุโรป” โดยนับตั้งแต่ปี 1994 มาจนถึงปัจจุบัน เขาขนะการเลือกตั้ง “อย่างไม่โปร่งใส” ทุกครั้ง และยังบริหารประเทศในลักษณะเผด็จการ ควบคุมสื่อ ควบคุมความคิดเห็นของประชาชน และแม้ประชาชนจะเคยออกมาประท้วงต่อต้าน แต่บัลลังก์ของเขาก็ยังคงไม่สั่นคลอน
โดยเมื่อปี 2020 ที่เกิดการประท้วงต่อต้านลูคาเชนโกครั้งใหญ่ วลาดิเมียร์ ปูติน เคยถึงกับจะส่งทหารมาช่วยปราบม็อบเลยด้วยซ้ำ
สภาพเศรษฐกิจสังคมทำให้เบลารุสอยู่ในภาวะ “ขาดเธอไม่ได้”
การที่ลูคาเชนโกเป็นประธานาธิบดีที่ดูแล้วเผด็จการ ทำให้เบลารุสมีปัญหาภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใสจึงถูกสหภาพยุโรป และสหรัฐฯ ดำเนินมาตรการคว่ำบาตรต่อองค์กรและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนในการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง การกดขี่ทางการเมือง และการบ่อนทำลายประชาธิปไตย
เมื่อเป็นเช่นนี้ การจะเชื่อมสัมพันธ์กับชาติตะวันตกที่นิยมประชาธิปไตยจึงเป็นไปได้ยาก การค้าต่าง ๆ กับชาติต่าง ๆ เป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะติดข้อจำกัดจากมาตรการคว่ำบาตร เบลารุสจึงต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์กับรัสเซียไว้
โดยปัจจุบัน เบลารุสยังคงให้ความสำคัญกับรัสเซียในฐานะมิตรประเทศที่ใกล้ชิดที่สุด เนื่องจากต้องพึ่งพารัสเซีย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า และพลังงาน จึงเกิดสภาวะ “เหมือนจะวิน-วิน” ขึ้นมาระหว่างรัสเซียและเบลารุส โดยรัสเซียต้องการเพื่อนบ้านที่จะไม่เข้าพวกกับตะวันตก ส่วนเบลารุสก็ต้องการลู่ทางในการเอาชีวิตรอด
รัสเซียเป็นทั้งคู่ค้าหลักของเบลารุส และเป็นตลาดส่งออกหลักสำหรับผู้ผลิตในเบลารุส ในปี 2020 การค้าระหว่างรัสเซีย-เบลารุสมีมูลค่า 2.95 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (9.6 แสนล้านบาท) โดยการส่งออกไปยังรัสเซียมีมูลค่าถึง 1.31 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.2 แสนล้านบาท) และมูลค่าการนำเข้าจากรัสเซีย 1.64 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (5.3 แสนล้านบาท) หรือก็คือ การค้ากับรัสเซียคิดเป็น 47.9% ของการค้าต่างประเทศของเบลารุส
เรียกได้ว่า หากขาดรัสเซียไป เบลารุสอาจถึงขั้น “อยู่ไม่ได้”
นอกจากความสัมพันธ์ทางการค้า ทั้งสองประเทศยังมีความสัมพันธ์ทางการทหารที่ค่อนข้างแนบแน่น โดยมักมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางทหารร่วมกัน และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็มีสนธิสัญญาทางทหารหลายฉบับที่ตกลงกันระหว่างเบลารุสและรัสเซีย
แต่ที่ต้องมีคำว่า “เหมือนจะ” อยู่ข้างหน้าความสัมพันธ์แบบวิน-วินของทั้งสอง ก็เป็นเพราะเบลารุสเองก็มีข้อหมางใจบางอย่างกับรัสเซีย โดยเคยมีรายงานว่า รัสเซียต้องการฮุบเอาเบลารุสเป็นส่วนหนึ่งของตน ซึ่งแน่นอนว่าลูคาเชนโกที่อยู่เหนือทุกผู้คนในเบลารุสไม่ต้องเสียอำนาจของตนไป ก็ต้องพยายามรักษาสถานะที่ไม่เป็นรองไว้
เมื่อตะวันตกไม่ยอมรับ และไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย เบลารุสจึงเป็นเหมือนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างภูเขา 2 ลูก คือนาโต กับรัสเซีย ที่ไม่สามารถยอมจำนนให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เลย แต่กระนั้น ภูเขาฝั่งรัสเซียก็ยังดูเป็นมิตรกว่า จึงทำให้เบลารุสเป็นพันธมิตรที่สำคัญของรัสเซียมาจนถึงปัจจุบัน
หากพิจารณาดูแล้ว เบลารุสกับรัสเซียนั้น ไม่อาจเรียกได้ว่า เป็นบ้านพี่เมืองน้องที่รักใคร่กันดี แต่มีผลประโยชน์ที่เชื่อมทั้งสองเอาไว้ รัสเซียสำหรับเบลารุสแล้ว เป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่พร้อมจะตีท้ายครัว แต่ก็เป็นบ่อเงินบ่อทองที่เบลารุสจะขาดไปไม่ได้
ภาพจาก AFP