เริ่มกันที่ความพยายามในการลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียก่อน อย่างที่ทราบกันดีว่าสหภาพยุโรปได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียไปหลายรายการแล้ว เช่น การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ การแช่แข็งสินทรัพย์ การตัดธนาคารขนาดใหญ่ของรัสเซียออกจากระบบการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ หรือ SWIFT มาตรการทั้งหมดนี้ล้วนสอดรับไปกับมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ยกเว้นประเด็นการคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียที่ตอนนี้มีเพียงสหรัฐฯ ที่ประกาศห้ามการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย
ประเด็นนี้กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของชาติสมาชิกอียูและทำให้เกิดอาการเสียงแตกในการประชุมสุดยอดผู้นำเมื่อคืนที่ผ่านมา ดังนั้น ผลของการประชุมเมื่อคืนที่ผ่านมาจึงออกมาในทิศทางที่ว่าอียูไม่สามารถคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซียตามสหรัฐฯ ได้ แต่ยุโรปจะพยายามลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียให้ได้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้สหภาพยุโรปไม่ต้องผูกติดกับรัสเซียมากเกินไป สิ่งที่สหภาพยุโรปทำได้เร็วที่สุดในตอนนี้คือ การลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียลงในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้ไป
อีกประเด็นหนึ่งที่มีการหารือกันคือ ประเด็นการรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หลังจากที่ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีลงนามขอเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปแบบฟาสแทร็กเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
นอกเหนือจากยูเครนแล้ว ยังมีอีก 2 ประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตได้แสดงความประสงค์ในการเข้าเป็นสามชิกอียูด้วย นั่นก็คือ มอลโดวาและจอร์เจีย
แล้วที่ประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรปมีข้อสรุปเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?
ข้อสรุปคือ สหภาพยุโรปยังไม่สามารถรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกได้ทันที แต่ตอนนี้ใบสมัครของยูเครนถูกส่งไปยังสู่คณะกรรมธิการประจำสหภาพยุโรปซึ่งต้องใช้เวลาพิจารณานานอาจเป็นเดือนหรือเป็นปี และอีกเหตุผลหนึ่งที่ยูเครนไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปได้คือ ยูเครนกำลังอยู่ในสภาวะสงคราม ซึ่งเรื่องนี้ยืนยัน โดยประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ที่ออกมาให้สัมภาษณ์หลังการประชุมเมื่อวานที่ผ่านมา โดยเขาระบุว่าสหภาพยุโรปต้องระวังเรื่องการรับยูเครนในสภาวะสงครามให้ดี และย้ำเรื่องสมดุลในภูมิภาคด้วย
ทำไมสหภาพยุโรปยังไม่รับยูเครนเข้าเป็นสมาชิก
ข้อแรก ความกังวลเรื่องการเข้ามาเป็นสมาชิกแบบฟาสต์แทร็กของยูเครนจะบ่อนทำลายกระบวนการการเป็นสมาชิกและกฎระเบียบของสหภาพยุโรป เนื่องจากสหภาพยุโรปมีขั้นตอนต่าง ๆ ที่บังคับให้ประเทศผู้ต้องทำก่อนเข้ามาเป็นสมาชิกแบบเต็มตัว เช่น การปรับปรุงกฎหมายภายในให้สอดคล้องกับสหภาพยุโรป การปรับตลาด การเปลี่ยนสกุลเงินเป็นยูโร
กระบวนการทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลานาน โดยเฉลี่ยแล้วคือ 4 ปีครึ่ง บางประเทศใช้เวลาถึง 10 ปี และในตอนนี้บางประเทศ เช่น มาซิโดเนียเหนือใช้เวลาเกือบ 20 ปียังไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกแบบสมบูรณ์ ชาติสมาชิกสหภาพยุโรปต่างกังวลกันว่า หากรับยูเครนเข้าสู่สหภาพยุโรปทันทีอาจทำให้ระเบียบต่าง ๆ ที่เคยมีอาจอ่อนแอลง ประเทศอื่น ๆ อาจร้องขอให้มีการยืดหยุ่นกฎซึ่งไม่ส่งผลดีต่อสหภาพยุโรป
ข้อสอง การขอเข้าเป็นสมาชิกของยูเครนครั้งนี้กระทบต่อสนธิสัญญาความมั่นคงของสหภาพยุโรป เนื่องจากหากยูเครนเข้าเป็นสมาชิก ยูเครนจะได้รับการคุ้มครองตามสนธิสัญญานี้เมื่อถูกรุกรานด้วยกองกำลัง นี่คืสิ่งที่ทำให้ชาติยุโรปหลายชาติกลัว เนื่องจากต้องเข้าร่วมสงครามและเผชิญหน้ากับรัสเซียโดยตรง สงครามที่อยู่บนแผ่นดินยูเครนจะกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ หรือ Full-scale war ซึ่งเป็นสิ่งที่ยุโรปหลีกเลี่ยงมาตลอด จะเห็นได้ว่าเรื่องพลังงานกลายเป็นปัญหาใหญ่ทั้งในที่ประชุมสหภาพยุโรปและทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้มีสัญญาณที่ดีในเรื่องของพลังงาน เมื่อประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียออกมายืนยันว่ารัสเซียจะส่งพลังงานให้แก่คู่สัญญาต่างๆ เหมือนเดิม
ผู้นำรัสเซียยืนยันจะส่งพลังงานต่าง ๆ ตามปกติ
เมื่อวานนี้ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้แถลงผ่านการประชุมคณะรัฐมนตรีว่ารัสเซียจะไม่ยุติการส่งพลังงานท่ามกลางสงครามยูเครน รัสเซียยอมรับพันธกรณีต่าง ๆ ด้านพลังงานที่เคยทำไว้กับคู่สัญญาต่าง ๆ ทุกอย่างจะเป็นไปตามสัญญา
ผู้นำรัสเซีย กล่าวต่อว่า การที่ราคาน้ำมันดีดตัวสูงขึ้นนั้นไม่ใช่ความผิดของรัสเซีย แต่เป็นความผิดของยุโรปและสหรัฐฯ เองที่ทำการคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซีย เขาย้ำต่อไปว่าการคว่ำบาตรรัสเซียอาจส่งผลกระทบกับราคาอาหารทั่วโลกด้วย
เมื่อผู้นำรัสเซียออกมายืนยันเรื่องการส่งพลังงานทำให้นักลงทุนทั่วโลกคลายความกังวลลงส่งผลให้เมื่อคืนที่ผ่านมาราคาน้ำมันลดลง
นักลงทุนคลายกังวล ราคาน้ำมันปรับลดลง
เมื่อคืนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปิดตัวโดยลดลงมาอยู่ที่ 106.02 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือลดลงประมาณ 2% และเปิดตลาดวันนี้ที่ 106.09 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
เมื่อไปดูในรายละเอียดจะพบว่าบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของชาติตะวันตกต่างปรับราคาลดลงเช่นกัน เริ่มที่อังกฤษ ราคาน้ำมันดิบที่ตลาดเบรนท์ ปรับตัวลดลง 1.81 ดอลลาร์ หรือราว -1.6% ไปปิดที่ 109.33 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรลล์ ต่อด้วยราคาน้ำมันดิบที่ตลาดไนเม็กซ์ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 2.68 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล หรือราว 2.5% ไปปิดที่ 106.02 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรลล์ และปิดท้ายด้วยราคาน้ำมันดิบที่ตลาดสิงคโปร์ ปรับตัวลดลง 3.16 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล หรือราว 2.94% ไปปิดที่ 106.98 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ราคาทองคำลดลง ตลาดหุ้นหลายแห่งเห็นยังติดลบ
สำหรับราคาทองคำก็ลดลงเช่นกัน โดยเมื่อวานราคาทองคำปิดตลาดที่ 1,996.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในขณะที่ตลาดหุ้นในเอเชียเปิดตัวในทะเลแดง เช่น หุ้นนิเคอิ 225 ร่วงลงไปที่ 2.4% ในการซื้อขายช่วงแรก หุ้นฮั่งเส็งร่วงลงไป 3 เปอร์เซ็น และหุ้น KOSPI ของเกาหลีที่ร่วงลงไปราว 0.89%
ขณะที่วอลสตรีทของสหรัฐฯ ตัวเลขการปิดตลาดเมื่อวานนี้ก็ไม่น่าพอใจเช่นกัน เนื่องจากปิดตัวลดลงเพราะอัตราเงินเฟ้อที่ทะยานสูงสุดในรอบ 40 ปี โดย S&P ร่วงลงไป 0.44% Nasdaq Composite ร่วงลงไปที่ 0.96% และดาวน์โจนส์ร่วงลงไปที่ 0.34%
คงต้องติดตามต่อไปว่าสถานการณ์และท่าทีของยุโรปจะเป็นอย่างไรต่อหลังจากนี้ เพราะนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น และเรายังคงต้องติดตามราคาน้ำมันอย่างใกล้ต่อไปเนื่องจากจะส่งผลต่อทุกภาคส่วนทั่วโลก