ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน “การพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย” ถือเป็นหนึ่งในจุดอ่อนของประเทศในสหภาพยุโรปหลายประเทศ เพราะทำให้ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังหากคิดจะสนับสนุนยูเครนเต็มกำลังหรือขัดแย้งกับรัสเซีย
ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นจริง เพราะหลังจากที่ชาติตะวันตกพากันคว่ำบาตรรัสเซีย ล่าสุด ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน กล่าวว่า จะปรับแผนการขายก๊าซให้กับประเทศ "ที่ไม่เป็นมิตร" เป็นเงินรูเบิล เพื่อตอบโต้ประเทศตะวันตกมีคำสั่งแช่แข็งสินทรัพย์ชาวรัสเซีย
ปธน.ยูเครนเรียกร้องอิสราเอลร่วมกดดันรัสเซีย เผย 8 ปีก่อนเคยช่วยชาวยิว
ประเทศตะวันตกที่ต้องพึ่งพาก๊าซจากรัสเซียและสินค้าอื่น เป็นเป้าหมายหลักของมาตรการนี้ เพราะก๊าซธรรมชาติ เป็นทรัพยากรที่มีประโยชน์หลากหลาย โดยเป็นทั้งแหล่งพลังงานสำหรับการทำความร้อน การผลิตไฟฟ้า ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ดังนั้น หลายประเทศในยุโรปจึงขับเคลื่อนไปได้ ก็ด้วยก๊าซธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น เยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป
ทั่วโลกมีหลายประเทศที่เป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติ แต่มีอยู่ 3 ประเทศ ที่ขีดความสามารถในการส่งออกคิดเป็น 40% ของการส่งออกก๊าซธรรมชาติทั้งหมดทั่วโลก หรือพูดง่าย ๆ การส่งออกก๊าซธรรมชาติเกือบครึ่งโลก มากจาก 3 ประเทศนี้เท่านั้น ได้แก่ รัสเซีย สหรัฐฯ และกาตาร์
รัสเซียส่งออกก๊าซธรรมชาติอันดับ 1 ของโลก
ข้อมูลจากองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก (OPEC) ระบุว่า ในปี 2020 ประเทศที่มีการส่งออกก๊าซธรรมชาติมากที่สุดในโลก ก็คือ รัสเซีย โดยส่งออกมาถึง 199,928 ล้านลูกบาศก์เมตร
รองลงมาคือสหรัฐฯ ส่งออก 149,538 ล้านลูกบาศก์เมตร ห่างจากรัสเซียถึง 50,000 ล้านลูกบาศก์เมตร และในอันดับที่ 3 คือ กาตาร์ ส่งออกทั้งสิ้น 143,700 ล้านลูกบาศก์เมตร
โดยการส่งออกก๊าซธรรมชาตินี้ มีหลากหลายรูปแบบ เช่น การส่งผ่านท่อส่งก๊าซ การแปลงสภาพเป็นก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เป็นต้น
สำหรับรัสเซีย มีการส่งออกก๊าซธรรมชาติรูปแบบต่าง ๆ ไปยังเกือบ 40 ประเทศทั่วโลก และเฉพาะประเทศในยุโรปก็เกือบ 30 ประเทศ ส่วนที่เหลือจะเป็นประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน อินเดีย ฯลฯ
ชาติใดในยุโรป พึ่งพาก๊าซธรรมชาติรัสเซียมากที่สุด
ในปี 2020 ที่ผ่านมา มีประเทศสหภาพยุโรป 27 ประเทศ ที่นำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย รวมแล้วราว 155,000 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นประมาณ 45% ของการนำเข้าก๊าซธรรมชาติทั้งหมด เรียกได้ว่า ถ้าตัดขาดกับรัสเซีย การนำเข้าก๊าซธรรมชาติของสหภาพยุโรปจะหายไปเกือบครึ่งเลยทีเดียว
โดยประเทศที่พึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียมากที่สุด ก็คือ เยอรมนี ซึ่งระบุไว้ข้างต้นว่า เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป จึงต้องใช้ทรัพยากรมาขับเคลื่อนมหาศาล
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติยุโรประบุว่า ในปี 2020 เยอรมนีนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียถึง 52,463 ล้านลูกบาศก์เมตร ประมาณ 1 ใน 3 ของก๊าซที่สหภาพยุโรปนำเข้า และคิดเป็นประมาณ 65% ของก๊าซธรรมชาติทั้งหมดที่เยอรมนีนำเข้าจากต่างประเทศ
รองลงมาคือ อิตาลี นำเข้าจากรัสเซีย 28,716 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 43% ของการนำเข้าของประเทศ ต่อมาคือตุรกี นำเข้าจากรัสเซีย 16,166 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 33% ของการนำเข้าของประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีบางประเทศที่ปริมาณการนำเข้าอาจไม่สูงมาก แต่กลับกินสัดส่วนการนำเข้าเกือบทั้งหมด เช่น ฮังการี นำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย 11,583 ล้านลูกบาศก์เมตร และนำเข้าจากประเทศอื่นเพียง 610 ล้านลูกบาศก์เมตร เท่ากับว่า ฮังการีมีสัดส่วนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียสูงถึง 95% หากรัสเซียหยุดส่งออก ก็เท่ากับว่าฮังการีจะต้องหาแหล่งอื่นมาทดแทนมหาศาล
โอกาสในวิกฤต
อย่างไรก็ตาม วิกฤตรัสเซีย-ยูเครนขึ้นที่เกิดขึ้นนี้ ในสายตาของหลายฝ่าย นับได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวเร่งปฏิกิริยาที่จะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ภาคพลังงานของสหภาพยุโรป
องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) วิเคราะห์ว่า วิกฤตพลังงานในสหภาพยุโรปจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนนี้ อาจนำไปสู่ “การลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียของสหภาพยุโรป” ได้
โดย IEA แนะนำให้มีการดำเนินการ เช่น หันไปหาซัพพลายเออร์รายอื่น เปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานอื่น ๆ หรือเร่งดำเนินการให้ผู้บริโภค ธุรกิจและอุตสาหกรรม หันมาใช้พลังงานทางเลือกที่สะอาดและมีประสิทธิภาพแทนก๊าซธรรมชาติ
รวมถึงการไม่ลงนามในสัญญาซื้อก๊าซฉบับใหม่กับรัสเซีย การเร่งการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์และลม การใช้แหล่งพลังงานที่ปล่อยมลพิษต่ำที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น นิวเคลียร์และพลังงานหมุนเวียน และยกระดับมาตรการประหยัดพลังงานในภาคครัวเรือนและธุรกิจ
คำแนะนำเหล่านี้สอดคล้องกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมหรือข้อตกลงสีเขียวของสหภาพยุโรป (European Green Deal) และจะเป็นการปูทางไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไปด้วย
IEA ประเมินว่า คำแนะนำเหล่านี้สามารถลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียของสหภาพยุโรปได้กว่า 5 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร หรือลดไปได้ 1 ใน 3 ภายในเวลา 1 ปี
นอกจากนี้ หากยอมใช้มาตรการบางอย่างที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ใช้น้ำมันแทนก๊าซธรรมชาติ IEA ประเมินว่า การนำเข้าก๊าซของสหภาพยุโรปจากรัสเซียจะลดลงปีละกว่า 8 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร หรือมากกว่าครึ่งหนึ่ง
ในเรื่องของการหันเหไปใช้แหล่งก๊าซธรรมชาติจากที่อื่น มีตัวอย่างจากเยอรมนี ที่เมื่อวันอาทิตย์ (20 มี.ค.) ที่ผ่านมา ได้บรรลุข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนด้านพลังงานในระยะยาวกับกาตาร์แล้ว
การลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติของรัสเซียไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสหภาพยุโรป จำเป็นต้องใช้ความพยายามด้านนโยบายในหลายภาคส่วน ควบคู่ไปกับการเจรจาระดับนานาชาติอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับตลาดพลังงานและความมั่นคง
เมื่อใดที่สามารถจำกัดอิทธิพลของรัสเซียที่ใช้ทรัพยากรก๊าซธรรมชาติเป็นเครื่องมือต่อรองกับยุโรปได้ ก็อาจส่งผลให้รัสเซียถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น และรามือจากการบุกยูเครนได้ในท้ายที่สุด
เปิดกลยุทธ์ลงทุนรับสงครามรัสเซีย-ยูเครน กับ 4 สถานการณ์ที่เป็นไปได้
เครื่องบิน "ไชนาอีสเทิร์นแอร์ไลน์ส" ตก 133 ชีวิตยังไม่ทราบชะตากรรม
เรียบเรียงจาก Al Jazeera / Eurostat / IEA
ภาพจาก AFP