คืนที่ผ่านมา ( 4 พ.ค.) เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภายุโรปให้ประเทศสมาชิกอียูระงับการนำเข้าน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันกลั่นจากรัสเซียเพื่อตอบโต้การที่รัสเซียเข้ารุกรานยูเครน
โดยการนำเข้าน้ำมันดิบให้ระงับภายใน 6 เดือน ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำมันกลั่นให้ระงับการนำเข้าภายในสิ้นปีนี้
เป็นที่ทราบกันดีว่า รัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับสามของโลก รองจากสหรัฐฯ และซาอุดีอาระเบีย รัสเซียสามารถผลิตน้ำมันได้ราว 11.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน
รัสเซียกลายเป็นชาติที่ถูกคว่ำบาตรมากที่สุด
รัสเซียจ่อบังคับ "ชาวเมืองเคอร์ซอน" ใช้เงินรูเบิล
ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากและในจำนวนนี้ 5 ล้านบาร์เรล หรือเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณน้ำมันที่รัสเซียผลิตได้ต่อวัน ถูกส่งออกไปให้กับชาติต่าง ๆ ในยุโรป
เป็นที่น่าสังเกตว่า การประกาศคว่ำบาตรพลังงานของอียูคราวนี้มีเพียงน้ำมัน ไม่มีก๊าซธรรมชาติ ซึ่งยุโรปต้องพึ่งพารัสเซียสูงมากเช่นเดียวกัน แต่เพียงแค่คว่ำบาตรน้ำมันก็มีปัญหาแล้ว เพราะดูเหมือนสมาชิกบางชาติไม่เห็นด้วย
มาตรการคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากชาติสมาชิกอียูทั้ง 27 ชาติก่อนจึงจะออกมาและมีผลบังคับใช้ ได้ แต่ขณะนี้มีอย่างน้อย 2 ชาติแล้วที่บอกไม่สามารถทำได้ คือ ฮังการี และ เช็ก
โดยรัฐมนตรีต่างประเทศของฮังการีออกมาบอกว่า ฮังการีจะโหวตสนับสนุนมาตรการคว่ำบาตรชุดนี้ ก็ต่อเมื่อไม่มีเรื่องการขนส่งน้ำมันดิบจากรัสเซียเข้ามาอยู่ในมาตรการ ที่ทำเช่นนี้เพราะต้องการรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพด้านพลังงานของฮังการี
รัฐมนตรีต่างประเทศของฮังการี ย้ำว่า ที่ฮังการีต้องขัดมติของสหภาพยุโรปนั้นไม่ได้มีเจตนาหรือวัตถุประสงค์ในทางการเมือง หรือละทิ้งความรับผิดชอบในฐานะส่วนหนึ่งของอียู
แต่เป็นเพราะฮังการียังมีความท้าทายในเรื่องลักษณะทางกายภาพ ภูมิประเทศ และความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่ต้องเผชิญ เช่น อากาศที่หนาวเย็นเกือบทั้งปี ทำให้ต้องใช้พลังงานจากรัสเซียเพื่อสร้างความอบอุ่นตามบ้านเรือน
นี่คือสาเหตุที่ฮังการียังไม่สามารถตัดขาดการพึ่งพาพลังงานและน้ำมันจากรัสเซียได้ตอนนี้ ฮังการีอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปีในการยุติการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย
อีกหนึ่งประเทศที่ยังไม่เห็นด้วยกับมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันคือ สาธารณรัฐเช็ก ปีเตอร์ เฟียลา นายกรัฐมนตรีสาธารณเช็กกล่าวว่า เช็กยินดีที่จะสนับสนุนมาตรการคว่ำบาตรนี้ แต่อาจขอสหภาพยุโรปทำข้อยกเว้นเรื่องน้ำมัน เนื่องจากต้องแก้ไขปัญหาเรื่องการส่งน้ำมัน ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี
แล้วเป็นไปได้ไหมที่จะหาน้ำมันจากแหล่งอื่นมาทดแทน?ถึงแม้การหาแหล่งน้ำมันทดแทนอาจง่ายกว่าการจัดหาก๊าซ เพราะมีประเทศกลุ่ม OPEC ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ง่ายมากเพราะน้ำมันคือเรื่องการเมือง
ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ขอให้ซาอุฯ เพิ่มการผลิตเพื่อทำให้ราคาน้ำมันลดลง แต่ซาอุฯ ปฏิเสธคำขอก่อนหน้านี้ของสหรัฐฯ ซาอุดิอาระเบีย เป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC)
ซึ่งน้ำมันจากกลุ่ม OPEC คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของน้ำมันดิบที่ซื้อขายกันในตลาดระหว่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ OPEC จึงมีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดราคาน้ำมันในตลาดโลก และตั้งแต่เกิดสงคราม ท่าทีของซาอุดิอาระเบียยังไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชัดเจน เพราะในวันที่มีการลงมติประณามรัสเซียจากการรุกรานยูเครน ซาอุดิอาระเบียเป็น 1 ใน 141 ชาติที่โหวตเห็นชอบมติดังกล่าว
แต่ในการโหวตเพื่อระงับสถานะรัสเซียในคณะมนตรีด้านสิทธิมนุษยชน ซาอุดิอาระเบียกลับโหวตงดออกเสียง
ท่าทีเช่นนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าซาอุดิอาระเบียไม่ต้องการเลือกข้าง และไม่ต้องการเข้าร่วมกับสงครามครั้งนี้ เพราะซาอุดิอาระเบียเข้าใจเป็นอย่างดีว่า การวางนโยบายความมั่นคงหรือนโยบายต่างประเทศเกี่ยวข้องกับหลายมิติ ตั้งแต่ผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ ด้านการทหาร รวมถึงเรื่องส่วนตัว
สหภาพยุโรปเสนอแผนระงับนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย
ซาอุดิอาระเบียเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน โดยทั้งสองร่วมมือกันเพื่อต้านอิทธิพลของอิหร่านในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ดี ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ และซาอุดิอาระเบียเกิดเรื่องหมางกัน
เมื่อปี 2018 จามาล คาช็อคกี นักข่าวชาวซาอุ ถูกสังหารในสถานกงสุลซาอุดิอาระเบียในนครอิสตันบูลของตุรกี
สหรัฐฯ ออกมากล่าวเป็นทำนองว่า ผู้บงการอาจจะเป็น เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมาร ของซาอุดิอาระเบีย เพราะคาช็อคกีคือคนวิพากษ์วิจารณ์พระองค์อย่างเปิดเผย
หลังจากนั้น ตอนที่ผู้นำโลกรวมตัวกันที่กรุงบัวโนสไอเรสของอาร์เจนตินาเพื่อร่วมประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ประเทศ หรือ จี 20 ช่วงปลายปี 2018
ผู้นำชาติตะวันตกส่วนใหญ่ได้แสดงความเย็นชาต่อพระองค์ แต่ประธานาธิบดีปูตินได้ทักทายพระองค์อย่างเป็นกันเอง
หลายคนจึงพูดว่า สิ่งนี้อาจทำให้มกุฎราชกุมารบิน ซัลมาน มีความรู้สึกทางบวกต่อประธานาธิบดีปูตินและไม่เคยลืมเรื่องนี้
นอกเหนือจากเหตุผลนี้ ส่วนหนึ่งที่ทำให้ซาอุดิอาระเบียปฏิเสธไม่เพิ่มการผลิตตามที่สหรัฐฯร้องขอ เป็นเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ เพราะซาอุได้ประโยชน์เต็มๆ จากสงครามในยูเครน
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซาอุดิอาระเบียรายงานอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดที่สุดในรอบ 1 ทศวรรษจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
ความเฟื่องฟูของภาคน้ำมันกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวถึง 9.6% ในไตรมาสแรก เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2021
สำนักงานสถิติแห่งชาติซาอุดิอาระเบียระบุในการประมาณการเบื้องต้นที่เผยแพร่ทางออนไลน์ว่า ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน ทำให้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี ที่แท้จริงของซาอุดิอาระเบียเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ว่าจีดีพีอาจเติบโตมากที่สุดในรอบ 10 ปี
ทั้งนี้ทำให้ซาอุฯ ที่ถึงแม้จะสนับสนุนมติประณามรัสเซียในยูเอ็น แต่ก็ไม่เคยออกมาแสดงท่าทีใด ๆ ที่ไม่เป็นมิตรต่อรัสเซีย และปูตินอีกหลังจากนั้น
มากไปกว่านั้น ซาอุดิอาระเบียยังปฏิเสธคำขอร้องของสหรัฐฯ ที่ให้ช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันเพื่อพยุงราคาตลาดโลกด้วย
นอกจากซาอุดิอาระเบีย อีกทางเลือกหนึ่งที่ชาติตะวันตกจะพึ่งพาน้ำมันได้คือ เวเนซุเอลา
ประเทศนี้เคยเป็นซัพพลายเออร์น้ำมันรายใหญ่ของสหรัฐ ฯ แต่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรไปตั้งแต่ช่วงปี 2017
ขณะนี้ สหรัฐฯ อาจพิจารณาผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันดังกล่าว เพื่อผูกมิตรกับเวเนซุเอลาและเจรจาเรื่องการซื้อ-ขายน้ำมันกันอีกครั้ง
สิ่งที่น่าสนใจคือ วันนี้ สมาชิกประเทศโอเปกจะมีการประชุมเพื่อหารือเรื่องปริมาณน้ำมันประจำเดือนมิถุนายนที่จะส่งออกมาขายในตลาดโลก
อาจจะต้องดูผลการประชุมในวันนี้ ( 5พ.ค.)ว่า กลุ่มประเทศโอเปกจะตัดสินใจเพิ่มปริมาณน้ำมันเข้าสู่ตลาดโลกหรือไม่ ซึ่งการตัดสินใจในวันนี้จะส่งผลต่อราคาน้ำมันทั่วโลก และอาจส่งผลต่อมาตรการการคว่ำบาตรที่สหภาพยุโรปกำลังหารือกันอยู่ในเวลานี้ด้วย
โควิดวันนี้ (6พ.ค.) ยอดติดเชื้อรายใหม่ 7,705 ราย เสียชีวิต 62 ราย