อย่างไรก็ดี นอกจากภาคตะวันออกแล้ว อีกจุดหนึ่งที่หลายฝ่ายให้ความสนใจคือ คาบสมุทรไครเมียทางตอนใต้ของยูเครน ซึ่งถูกรัสเซียครอบครองไว้ตั้งแต่ปี 2014 เนื่องจากเกิดเหตุระเบิดในคลังอาวุธของกองทัพรัสเซียถึง 2 ครั้งในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ล่าสุดรัสเซียออกมายอมรับแล้วว่า เหตุระเบิดที่เกิดเมื่อวานนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ
สื่อของรัสเซียรายงานว่า เมื่อวานนี้เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่คลังเก็บอาวุธในหมู่บ้านเมสโกเย ของเมืองดชานกี บนคาบสมุทรไครเมีย โดยไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดสาเหตุของการระเบิดที่เกิดขึ้น
จับตาจีน-รัสเซีย สานสัมพันธ์รัฐบาลตาลีบัน
รัสเซียเปิดตัวหุ่นยนต์ติดอาวุธ สื่อแฉซื้อจาก Alibaba
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เซอร์เก อักซโยนอฟ ผู้ว่าการแคว้นไครเมียได้ให้สัมภาษณ์ว่า เหตุการณ์ระเบิดที่คลังแสงดังกล่าว เป็นการก่อวินาศกรรมโดยกลุ่มติดอาวุธสายโปรยูเครน
ผลของการโจมตีดังกล่าว ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสองรายและชุมทางรถไฟเสียหาย ตอนนี้ทางการแคว้นไครเมียต้องเร่งอพยพผู้คนกว่า 3,000 คนออกจากพื้นที่เป็นการด่วน เนื่องจากเกรงว่าจะได้รับผลกระทบจากแรงระเบิดที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี แม้รัสเซียจะออกมากล่าวหาว่าเหตุระเบิดต่างๆที่เกิดขึ้นในไครเมียเป็นฝีมือของยูเครน แต่ทางการยูเครนยังไม่เคยออกมายอมรับว่าเป็นผู้ลงมือ ทั้งเหตุระเบิดที่ฐานทัพอากาศซากีในเมืองนาวาโฟดารอฟกา หรือที่คลังเก็บอาวุธในหมู่บ้านเมสโกเย ของเมืองดชานกีจะเห็นได้ว่าแคว้นไครเมียซึ่งถูกรัสเซียยึดครองไปตั้งแต่ปี 2014 ถูกโจมตีบ่อยขึ้น
หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า นี่คือการส่งสัญญาณของฝั่งยูเครนว่าจะชิงคาบสมุทรไครเมียคืนมาหรือไม่ เพราะแหลมไครเมียเป็นพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญในทะเลดำ เนื่องจากที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของกองทัพเรือยูเครนมาก่อน
ตอนนี้ยังไม่มีใครตอบเรื่องนี้ได้ คำอธิบายต่าง ๆ ในตอนนี้ล้วนเป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้น แม้แต่ผู้นำยูเครนก็ยังไม่ได้พูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาในการแถลงการณ์ประจำวัน
ในการแถลงสถานการณ์ประจำวันของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน ได้พูดถึงเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในไครเมียว่า สาเหตุการเกิดระเบิดนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะจากความประมาทเลินเล่อของฝ่ายรัสเซียเอง
นอกจากเรื่องเหตุระเบิดบนคาบสมุทรไครเมียแล้ว ประธานาธิบดีของยูเครนก็ยังได้พูดถึงการณ์การโจมตีที่เกิดขึ้นในยูเครนด้วยเช่นกัน โดยรายงานว่า ตอนนี้รัสเซียยังคงโจมตีพื้นที่ทางภาคใต้ที่แคว้นซาโปริซเซีย และดนีโปรเปตรอฟสก์
ท่ามกลางสงครามที่ยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้หลายฝ่ายกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแคว้นซาโปริซเซียเป็นอย่างมาก เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ซึ่งมีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ใช้งานได้อยู่ถึง 6 เครื่อง
หลายฝ่ายกังวลว่าถ้าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ได้รับความเสียหายจนสารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหล ผลกระทบอาจร้ายแรงกว่าเหตุการณ์ที่เชอร์โนบิลหลายเท่า
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียบอกว่า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซียมีปัญหา อาจไม่ร้ายแรงเท่าเหตุการณ์ในเชอร์โนบิล
บอริส ซูอีคอฟ ผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีกัมมันตภาพรังสีประจำสถาบันวิจัยนิวเคลียร์ ของวิทยาลัยวิทยาศาสตร์แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย กล่าวว่า การโจมตีที่เกิดขึ้นรอบ ๆ โรงงานซาโปริซเซียอาจไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัวเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เนื่องจากตัวเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ได้รับการปกป้องอย่างดีจากโครงสร้างอาคารที่แข็งแรงมาก
แต่ผลกระทบจากการโจมตีก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ระบบหล่อเย็นของโรงไฟฟ้า จนอาจทำให้เกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสี
ซึ่งผลที่จะเกิดขึ้นจะมีความรุนแรงเทียบเท่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้าฟุกุชิมะไดอิจิของญีปุ่นเมื่อปี 2011 แต่ไม่ร้ายแรงเท่าเหตุการณ์ในเชอร์โนบิล
ผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีกัมมันตภาพรังสีรายนี้ยังระบุว่า หากเกิดกัมมันตภาพรังสีรั่วไหล ระดับความรุนแรงของผลกระทบนั้นขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่างโรงงานไฟฟ้าและชุมชน และเขามองว่ายังไม่มีความจำเป็นที่ต้องอพยพประชาชนในเวลานี้ การอพยพประชาชนออกนอกพื้นที่ควรทำเมื่อเกิดเกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสีแล้ว
ทั้งนี้องค์การสหประชาชาติได้ออกมายืนยันชัดเจนว่า ไม่ว่าผลกระทบจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซียจะมากหรือน้อย ก็ไม่ควรปล่อยให้เกิดหายนะนิวเคลียร์ขึ้นที่โรงไฟฟ้าซาโปริซเซีย
โดยเมื่อวานนี้ สเตฟาน ดูจาร์ริก โฆษกเลขาธิการสหประชาชาติออกมาแถลงว่าองค์การสหประชาชาติจะเดินทางไปหารือเรื่องสถานการณ์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซีย ร่วมกับประธานาธิบดีของยูเครนที่เมืองลวิฟ ทางภาคตะวันตกของยูเครนในวันพรุ่งนี้
นอกจากภาคใต้ของยูเครนแล้ว ตอนนี้สถานการณ์ในภาคตะวันออกของยูเครนก็ยังคงรุนแรงเช่นเดียวกัน เนื่องจากรัสเซียเดินหน้ายึดพื้นที่ในบริเวณนี้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ฝั่งยูเครนก็พยายามโต้กลับเพื่อยึดพื้นที่คืน ทำให้ทางการประชาชนต้องเร่งอพยพออกจากพื้นที่
นี่คือภาพความเสียหายของบ้านเรือนประชาชนในเมืองครามาทอร์สก์ของแคว้นโดเนตสก์ หลังจากถูกกองทัพรัสเซียใช้ขีปนาวุธโจมตี
อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรายงานว่าไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุที่เกิดขึ้น แม้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการอพยพออกจากพื้นที่ แต่ก็มีประชาชนบางส่วน อย่างเกษตรกรกลุ่มนี้ยืนยันว่าจะอยู่ที่เมืองครามาทอร์สก์แห่งนี้ต่อไป แม้ว่าสงครามจะดำเนินต่อไปและรุนแรงขึ้นทุกวัน เพราะพวกเขาอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิต ที่นี่เป็นบ้านของพวกเขา และยังหวังอยู่ลึก ๆ ว่าสันติภาพจะเกิดขึ้นในเร็ววัน
ตอนนี้หลายพื้นที่ของยูเครนได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการโจมตีของกองทัพรัสเซีย และปฏิบัติการที่รัสเซียเรียกว่าเป็นเฟสสองก็มุ่งเป้าไปที่ที่พัก ตลอดจนพื้นที่ของพลเรือนเป็นหลัก
นั่นทำให้พลเรือนยูเครนเสียชีวิตหลายพันคนจากสงครามที่กำลังเกิดขึ้นและหลายฝ่ายได้ออกมาประณามรัสเซียอยู่เป็นระยะ ๆ ว่าละเมิดกฎของสงครามและก่ออาชญากรรมสงคราม
อย่างไรก็ดี เมื่อวานนี้ พลเอกเซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของรัสเซียชี้แจงเรื่องนี้ขณะเข้าร่วมงาน Moscow Conference on International Security ครั้งที่ 10 ว่า ทางผู้บังคับบัญชาที่ดูแลด้านปฏิบัติการพิเศษทางการในยูเครนปฏิบัติตามความในอนุสัญญาเจนีวา ปี 1949 อย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ กองทัพรัสเซียที่เข้าไปปลดปล่อยดินแดนของยูเครนยังได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนในพื้นที่ รวมถึงช่วยบูรณะซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายด้วย
นอกจากรัฐมนตรีกลาโหมของยูเครนแล้ว ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียก็ได้ปรากฏตัวผ่านวิดีโอในงานนี้เช่นกัน
โดยผู้นำรัสเซียได้กล่าวถึงความพยายามของชาติตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ ว่า กำลังนำพาแนวคิดและระบบแบบนาโตไปสู่เอเชียแปซิฟิก
ผู้นำรัสเซียระบุว่า พิจารณาจากทริปการเยือนไต้หวันของแนนซี เพโลซี ว่า ไม่ใช่เป็นการเดินทางส่วนบุคคล แต่เป็นการเดินทางที่มีเป้าหมายมากกว่านั้น อีกทั้งยังเป็นการเดินทางที่วางแผนไว้อย่างดีเพื่อสั่นคลอนอธิปไตยของชาติอื่นๆ
พร้อมกันนั้นยังกล่าวถึงว่า สหรัฐฯ พยายามทำให้ความขัดแย้งในยูเครนยืดเยื้อ ซึ่งพวกเขาทำแบบนี้มาแล้วกับความขัดแย้งอื่นๆ ทั่วโลก ในทางตรงกันข้ามรัสเซียกำลังสร้างโลกของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง