ตลอดระยะเวลามากกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา หนึ่งในพลังสำคัญที่ช่วยยูเครนในการต่อต้านการรุกรานของยูเครน คือเหล่า “ทหารอาสาชาวต่างชาติ” ที่จากบ้านจากเมืองของตัวเองมาต่อสู้ร่วมกับกองทัพยูเครน
และในสถานการณ์ล่าสุดที่ยูเครนกำลังพยายามโจมตีพื้นที่ภูมิภาคเคอร์ซอน ทางตอนใต้ของประเทศ เพื่อทวงพื้นที่ที่รัสเซียยึดไปคืนมา หรือที่สื่อต่างประเทศเรียกกันว่า “การตอบโต้ (Counteroffensive)” ก็ยังคงมีอาสาสมัครชาวต่างชาติร่วมต่อสู้อยู่กับชาวยูเครน
“มิน อ่อง หล่าย” พบ “ปูติน” สานสัมพันธ์เมียนมา-รัสเซียแน่นแฟ้น
"ไม่จบง่าย" รัสเซียลากยาวสงครามถึงฤดูหนาวเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง
รัสเซียยื่นเงื่อนไขชาติยุโรป ไม่เลิกคว่ำบาตร ไม่เปิดท่อส่งก๊าซธรรมชาติ
ที่หน่วยลาดตระเวนกองกำลังยูเครนยุทธการยึดคืนเคอร์ซอน มีทหารอาสาชาวต่างชาติร่วมอยู่ในกองทัพ 3 คน หนึ่งในนั้นคือ มาร์ก ไอเรส อดีตทหารอังกฤษวัย 48 ปี ซึ่งขณะนี้ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบและอยู่ระหว่างการพักฟื้น
ไอเรสเล่าว่า ในวันแรกของ “การตอบโต้” เขายิงกระสุนปืนไปมากกว่า 2,000 นัดจากปืนกล PK ในระหว่างการสู้รบอย่างดุเดือดกับกองกำลังรัสเซีย “การต่อสู้ค่อนข้างดุเดือด ต้องใช้กระสุนจำนวนมาก ... เราต่อสู้กันอย่างหนัก และเราชิงพื้นที่ที่เราตั้งใจจะยึดมาได้”
ในวันที่สองของปฏิบัติการตอบโต้ ไอเรสถูกยิงเข้าที่ขาซ้าย และได้รับบาดเจ็บรุนแรง จนต้องถอนตัวมาพักรักษาตัว
เขาบอกว่า ถึงแม้จะมีผู้บาดเจ็บล้มตายพอสมควรในแนวหน้า แต่กองกำลังของยูเครนกำลังคืบหน้าอย่าง “ช้า ๆ แต่เด็ดขาด”
“มันจะไม่ใช่ศึกที่เร็ว มันยาก จะเป็นการต่อสู้อย่างช้า ๆ ทีละเมตร ทีละตำแหน่ง ทีละพื้นที่ เพราะเราไม่มีทรัพยากรที่จะทำสงครามสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg) ซึ่งต้องใช้ปืนใหญ่และเกราะจำนวนมาก ดังนั้นเราจึงต้องสู้อย่างชาญฉลาด และพยายามทำศึกโดยรักษาชีวิตทหารให้ได้มากที่สุด” ไอเรสกล่าว
จนถึงตอนนี้ ยูเครนอ้างว่าได้ทำการทยอยยึดพื้นที่ในภูมิภาคเคอร์ซอนคืนจากรัสเซียทีละน้อย ๆ และรายละเอียดส่วนใหญ่เกี่ยวกับยุทธการครั้งนี้เป็นความลับ
รายงานจากสถาบันเพื่อการศึกษาสงคราม (ISW) ระบุว่า กลยุทธ์ของยูเครนขณะนี้ มีลักษณะเป็น “การปฏิบัติการอย่างมีระเบียบ โดยเจตนาเพื่อป่วนกองกำลังรัสเซียและการขนส่งอาวุธ-เสบียง แทนที่จะมุ่งเป้าไปที่การยึดพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว”
นอกจากไอเรสแล้ว ในหน่วยลาดตระเวนนี้ยังมี ไมเคิล ซาเฟอร์ โรนิน อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ อายุ 34 ปี ซึ่งได้รับบาดเจ็บเช่นกัน โดยมีบาดแผลที่ศีรษะ ท้อง และมือ
เขากล่าวว่า ขวัญกำลังใจของกองทัพยูเครนที่แนวหน้ายังคง “ค่อนข้างสูง” แต่ในทางกลับกัน กองกำลังรัสเซียในสมรภูมิทางใต้ดูเหมือนจะ “ไม่เป็นมืออาชีพ และไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”
ทั้งสองคนรู้จักกันมาก่อนจากการต่อสู้กับกลุ่มชาวเคิร์ดในซีเรีย และเข้าร่วมกับกองทัพยูเครนตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของสงคราม
ไอเรสกล่าวว่า เขาเข้าร่วมกับยูเครนเพราะเขาได้รับ “แรงบันดาลใจ” จากจิตวิญญาณของชาวยูเครน “มันเป็นเรื่องระหว่างความถูกต้องและสิ่งที่ผิด ... นี่มันเป็นการรุกรานประเทศอธิปไตยโดยปราศจากการยั่วยุ ... เราไม่มีความเห็นอกเห็นใจใด ๆ สำหรับทหารรัสเซีย”
ไอเรสบอกว่า ความท้าทายหลักของพวกเขาในสนามรบขณะนี้กำลังถูกข่มด้วยจำนวนอาวุธและจำนวนกำลังพล แม้แนวหน้าจะมีอาวุธเบาเพียงพอ แต่ไม่มีอาวุธหนักอย่างปืนใหญ่และรถถัง ส่วนอาวุธที่สหรัฐฯ และนาโตจัดหามาให้ เช่น ระบบขีปนาวุธ HIMARS, ปืนครก และขีปนาวุธจาเวลิน นั้น มีประโยชน์ในการต่อสู้ แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับอำนาจการยิงของคู่ต่อสู้
“พวกเขาใช้ปืนใหญ่ยิงใส่เราอย่างต่อเนื่อง นั่นคือสิ่งที่ทำให้มันยากขึ้นมาก ปืนใหญ่ และเกราะที่พวกเขามีมันเหนือกว่าของเรา การจู่โจมของเราแม่นยำมากกว่า แต่ก็มีข้อจำกัดมากกว่า” ไอเรสกล่าว
ทั้งไอเรส และซาเฟอร์ โรนิน ต่างบอกว่า เป้าหมายต่อไปของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่การบินกลับบ้านอย่างปลอดภัย แต่จะมุ่งหน้ากลับไปที่แนวหน้า เพื่อกลับเข้าร่วมการต่อสู้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ซาเฟอร์ โรนิน กล่าวว่า “เมื่อร่างกายของผมทุกอย่างหายเป็นปกติ อาจจะภายใน 3-4 สัปดาห์ ผมจะกลับไปที่สมรภูมิ”
ไอเราเสริมว่า “แน่นอน ผมจะกลับไป เพราะผมเป็นทหาร”
ขาดแคลนอาวุธ? สหรัฐฯ อ้าง รัสเซียเตรียมจัดซื้อจากเกาหลีเหนือ
รัสเซียชะลอแผนผนวกเคอร์ซอน หลังยูเครนเร่งยึดพื้นที่คืน
เรียบเรียงจาก CNN
ภาพจาก AFP