ผู้แทนจากยูเครนได้เปิดเผยในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 27 (COP27) ว่า อีกหนึ่งเหตุผลที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนควรยุติได้แล้ว นั่นคือสงครามความขัดแย้งครั้งนี้กำลังก่อมลพิษมหาศาลให้กับโลก
รัสแลน สตริเลตส์ รัฐมนตรีคุ้มครองสิ่งแวดล้อมยูเครน กล่าวว่า การรุกรานยูเครนของรัสเซียทำให้ก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากถึง 33 ล้านตันถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ โดยเทียบเท่ากับการเพิ่มรถยนต์เกือบ 16 ล้านคันมาวิ่งบนถนนเป็นเวลา 2 ปี
UN คาดวันนี้ประชากรโลก ครบ 8 พันล้านคน นับเป็นก้าวสำคัญของมนุษยชาติ
มหาเศรษฐี 1 คน ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าคนทั่วไป 1 ล้านเท่า
ความเข้มข้นก๊าซเรือนกระจกพุ่งเป็นประวัติการณ์ โลกไม่มีวี่แววดีขึ้น
ตัวเลขการปล้อยก๊าซเรือนกระจกดังกล่าวคำนวณจากการปล่อยมลพิษ ทั้งจากไฟป่า ไฟทางการเกษตร ตลอดจนน้ำมันที่ถูกเผาไหม้หลังจากที่รัสเซียโจมตีคลังเก็บสินค้าต่าง ๆ ของยูเครน
สตริเลตส์กล่าวว่า กำลังรวบรวมหลักฐานการก่ออาชญากรรมด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อฟ้องรัสเซีย นอกจากนี้ เขายังอ้างด้วยว่า สงครามที่รัสเซียนำพามาได้ทำลายสัตว์และพืชมีค่าจำนวนมากเช่นกัน
โดยยูเครนบอกว่า ผลพวงจากสงครามคร่าชีวิตสัตว์ไปแล้วประมาณ 600 ตัว พืชและเชื้อรา 750 ชนิด รวมทั้งสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ กำลังถูกคุกคาม และตั้งแต่เดือน ก.พ. มีการบันทึกการเสียชีวิตของโลมาในทะเลดำซึ่งเชื่อมโยงกับสงครามอย่างน้อย 120 ตัว
“รัสเซียได้เปลี่ยนเขตอนุรักษ์ธรรมชาติของเราให้เป็นฐานทัพทหาร ... เพราะสงคราม เราจะต้องทำมากขึ้นเพื่อเอาชนะวิกฤตสภาพภูมิอากาศ” เขากล่าว
รัฐมนตรีคุ้มครองสิ่งแวดล้อมยูเครนยังกล่าวอีกว่า คณะผู้แทนของเขาในการประชุมสุดยอดด้านสภาพอากาศไม่ได้วางแผนที่จะพบกับผู้แทนรัสเซียในการประชุมนี้ “ถ้าเราบังเอิญไปเจอ เราก็จะไม่คุยกับพวกเขา”
สตริเลตส์ยังอ้างว่า การฟื้นฟูยูเครนขึ้นมาใหม่จะทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 49 ล้านตันก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งรัสเซียจะต้องรับผิดชอบต่อการปล่อยมลพิษเหล่านี้
นับตั้งแต่รัสเซียเริ่มรุกรานยูเครนในเดือน ก.พ. ยูเครนอ้างว่า ได้รวบรวมหลักฐานการก่อคดี “อาชญากรรมสิ่งแวดล้อม” ของรัสเซียไว้แล้ว 2,000 คดี ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายว่า 38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.3 พันล้านบาท) รวมถึงการทำลายป่าไม้ การปล่อยก๊าซมลพิษ และความเสียหายต่อแหล่งน้ำ ซึ่งยูเครนมีแผนจะใช้หลักฐานเหล่านี้เพื่อเรียกร้องขอค่าชดเชยจากรัสเซียสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น
เรียบเรียงจาก BBC
ภาพจาก AFP