ล่าสุด ทางการจีนเริ่มหันมามีท่าทีผ่อนคลายความเข้มงวดในการควบคุมโควิดลง โดยเมืองใหญ่ๆ เช่น นครกว่างโจวและฉงชิ่ง ที่เพิ่งเกิดเหตุประท้วงและการเผชิญหน้ากันระหว่างตำรวจและผู้ชุมนุม ทางการได้ประกาศคลายมาตรการป้องกันการระบาดของโควิด แต่ก็ไม่ยอมระบุว่า ท่าทีผ่อนปรนนี้เกิดขึ้นเพราะการประท้วงของประชาชน
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานวันนี้ 1 ธ.ค.ว่า ในหลายเมืองของจีนได้มีการยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ในระดับเขต และอนุญาตให้ธุรกิจต่างๆ กลับมาเปิดให้บริการได้
ประท้วง "โควิดเป็นศูนย์" ลุกลามในหลายเมืองใหญ่ของจีน
จีนประท้วงในหลายเมืองใหญ่ ไม่พอใจ "โควิด-19 เป็นศูนย์"
ที่นครฉงชิ่ง ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ทางการระบุว่าจะอนุญาตให้ผู้สัมผัสใกล้ชิดของผู้ติดโควิด-19 ที่ได้ปฏิบัติตามเกณฑ์เงื่อนไขบางอย่าง สามารถกักตัวอยู่ที่บ้านได้
ส่วนที่นครกว่างโจว เมืองใหญ่ทางตอนใต้ที่อยู่ใกล้กับฮ่องกงและเพิ่งมีประชาชนประท้วงไม่พอใจการล็อกดาวน์ เมื่อช่วงบ่ายวันพุธจู่ๆ ทางการก็ได้ประกาศยกเลิกคำสั่งล็อกดาวน์ในอย่างน้อย 7 เขตของเมือง
โดยในประกาศของทางการกว่างโจวแจ้งว่าจะยกเลิก “คำสั่งควบคุมชั่วคราวหลายอย่าง” ลงและกำหนดพื้นที่เสี่ยงต่ำใหม่อีกครั้ง รวมถึงประกาศยกเลิกการตรวจหาเชื้อแบบ PCR แบบหมู่ด้วย
มีอยู่เขตหนึ่งที่บอกว่า จะอนุญาตให้นักเรียนกลับมาเรียนในชั้นเรียนได้ และจะกลับมาเปิดร้านอาหารและธุรกิจอื่นๆ ซึ่งรวมถึงโรงภาพยนตร์
ด้านเว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดี้ยนรายงานอ้างอิงผู้พักอาศัยบางคนในกว่างโจวที่บอกว่า ภายใน 1 ชั่วโมงหลังมีประกาศออกมา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอพาร์ตเมนต์ก็ออกจากพื้นที่ไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเพื่อนบ้านบางคนก็รีบเก็บกระเป๋าเพื่อหนีออกจากอาคาร
อย่างไรก็ตาม การคลายมาตรการควบคุมไม่ได้เกิดขึ้นในทุกเขต บางพื้นที่เช่นในเขตไห่จูที่เพิ่งมีการปะทะระหว่างผู้ประท้วงต้านมาตการโควิดเป็นศูนย์กับตำรวจเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ยังคงอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์
โดยที่เขตไห่จูซึ่งเป็นพื้นที่พบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก พื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตนี้อยู่ภายใต้การล็อกดาวน์มาตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม รวมถึงมีรายงานการปะทะระหว่างประชาชนที่ไม่พอใจการล็อกดาวน์กับตำรวจอยู่หลายครั้งในช่วงเดือนที่ผ่านมา
ส่วนที่กรุงปักกิ่งเมืองหลวงของประเทศซึ่งก็เป็นพื้นที่ที่มีการประท้วงต้านโควิดเป็นศูนย์ของประชาชนด้วยเช่นกัน รอยเตอร์สรายงานว่าตอนนี้มีชุมชนแห่งหนึ่งทางตะวันออกของกรุงปักกิ่งเตรียมอนุญาตให้ผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่หนักกักตัวอยู่ที่บ้านได้
ทางการจีนไม่ได้กล่าวถึงการประท้วงต้านโควิดเป็นศูนย์ของประชาชนที่เกิดขึ้นในหลายเมืองทั่วประเทศในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่ามีส่วนทำให้ตัดสินใจคลายมาตรการคุมเข้มในหลายเมืองหรือไม่ โดยการคลายมาตรการควบคุมในหลายเมืองของจีนมีขึ้นแม้จีนกำลังเผชิญตัวเลขผู้ติดเชื้อขาขึ้นมาหลายสัปดาห์
อย่างไรก็ดี ทางการระบุว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ของเมื่อวานอยู่ที่ 36,061 ราย ลดลงเล็กน้อยจากเมื่อวันอังคารซึ่งอยู่ที่ 37,828 ราย ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตไม่มีเพิ่ม ยังอยู่ที่ 5,233 ราย นับตั้งแต่เริ่มการระบาด
ด้าน ‘ซุน ชุนหลาน’ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งรับผิดชอบดูแลการจัดการโควิดระบุว่า จีนกำลังเผชิญสถานการณ์และภาระกิจใหม่ในการป้องกันและควบคุมการระบาดของโควิด เนื่องจากความสามารถในการก่อโรคของเชื้อกลายพันธุ์โอมิครอนอ่อนแอลง ประชาชนได้รับวัคซีนมากขึ้น และจีนก็มีประสบการณ์ในการควบคุมไวรัสมากขึ้น
รองนายกรัฐมนตรีจีนยังขอให้มีการทำให้นโยบายด้านการตรวจหาเชื้อ รักษาและการกักตัว มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ซึ่งท่าทีล่าสุดจากรองนายกฯ จีน ที่บอกว่าความสามารถในการก่อโรคของเชื้อไวรัสอ่อนแอลง ถือได้ว่าแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสารก่อนหน้านี้ที่ทางการจีนพยายามสื่อสารกับประชาชน
ขณะเดียวกัน การจะถอยห่างจากการล็อกดาวน์และเปิดประเทศได้น้ัน การฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งล่าสุดทางการจีนก็ได้ประกาศเร่งเดินหน้าการฉีดวัคซีนให้ประชากรผู้สูงวัย
อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุในจีนก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างต่อความพยายามของรัฐบาลในการเร่งอัตราการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุ
โดยบางคนบอกว่ากลัวผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีน จีนควรจะยึดนโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่อไป แต่บางคนก็บอกว่าไม่กลัวการฉีดวัคซีน และถึงเวลาที่ต้องเปิดประเทศได้แล้ว
ทั้งนี้ ข้อมูลจากหน่วยงานสุขภาพแห่งชาติของจีนชี้ว่า โดยภาพรวมประชากรจีนร้อยละ 90 ได้รับวัคซีนป้องกันโควิดครบโดสแล้ว แต่ในกลุ่มอายุ 80 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุด มีเพียงแค่ 2 ใน 3 ที่ฉีดวัคซีนครบโดส และมีเพียงร้อยละ 40 เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น
แม้ทางการมีท่าทีคลายความเข้มงวดลงในบางเมือง แต่หลายฝ่ายก็ยังมองว่า โอกาสที่ในเร็วๆนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะกลับลำยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ซึ่งเขาบอกว่าเป็นความสำเร็จสำคัญโดยทันที อาจมีอยู่ไม่มากนัก
ขณะเดียวกัน ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าท่ามกลางความคุกรุ่นจากการประท้วงต้านโควิดเป็นศูนย์ที่ยังไม่จางดีนัก การถึงแก่อสัญกรรมของอดีตประธานาธิบดี ‘เจียง เจ๋อหมิน’ อาจกลายเป็นเหตุผลใหม่ให้ประชาชนออกมารวมตัว
เจียง เจ๋อหมิน อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิวสต์และประธานาธิบดีที่นำจีนสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ได้ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวานนี้จากโรคลูคิเมีย ด้วยวัย 96 ปี
ผู้ประท้วงและผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงต่างประเทศบางส่วนเชื่อว่า การจากไปของอดีตประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน อาจกลายเป็นสาเหตุให้คนออกมาชุมนุมหลังอยู่ภายใต้การระบาดของโควิดมานาน 3 ปี
ย้อนกลับไปตอนเหตุการณ์นองเลือดที่เทียนอันเหมินเมื่อปี 1989 สาเหตุที่ทำให้นักศึกษาออกมาชุมนุมก็คือการถึงแก่อสัญกรรมของ ‘หู เย่าปัง’ อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สายปฏิรูป ที่ทำให้นักศึกษาออกมารวมตัวที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเพื่อไว้อาลัย ก่อนจะกลายเป็นการประท้วงไม่พอใจการปฏิรูปประเทศที่ล่าช้า
นักวิเคราะห์บางคนมองว่า แม้เจียง เจ๋อหมิง ไม่ได้เป็นที่นิยมเท่าหู เย่าปัง แต่การถึงแก่อสัญกรรมของเขาก็อาจกลายเป็นเหตุผลที่ชอบธรรมให้ประชาชนออกไปรวมตัว ไว้อาลัย
ขณะที่รอยเตอร์สรายงานอ้างอิงความเห็นประชาชนที่ออกไปร่วมชุมนุมประท้วงเมื่อสุดสัปดาห์ โดยบางคนเปรียบเทียบประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กับอดีตประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน ในแง่ของทักษะบนเวทีโลกและการเปิดกว้างต่อตะวันตก การถึงแก่อสัญกรรมของเจียง เจ๋อหมิน ยังจุดประเด็นให้บางคนรู้สึกเศร้าใจต่ออนาคตของรัฐบาลจีน
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าผู้ใช้โซเชียลมีเดียของจีนบางส่วนได้โพสต์ข้อความผ่านเวยโป๋ บอกว่าภายใต้การนำของเจียง เจ๋อหมิน อย่างน้อยสังคมจีนก็ดูจะเปิดกว้างและก้าวหน้ากว่านี้ แม้พรรคควบคุมการเมือง แต่ก็ยังเปิดช่องให้ทนายสิทธิ สื่อพาณิชย์ ฝ่ายที่เห็นต่างและนักวิชาการสายเสรีนิยมมีส่วนร่วมต่อการถกเถียงสาธารณะได้บ้าง นั่นเป็นเสรีภาพเล็กน้อยที่ไม่ปรากฏอยู่เลยในเวลานี้
ขณะเดียวกัน ยังมีรายงานว่าในกลุ่มเทเลแกรมของผู้ประท้วงต้านโควิดเป็นศูนย์ มีการถกเถียงกันเรื่องผลงานของเจียง และบอกว่าช่วงเวลานี้คล้ายกับประวัติศาสตร์ช่วงเหตุการณ์เทียนอันเหมินเมื่อ 33 ปีที่แล้ว ผู้ประท้วงบางคนยังบอกว่า การถึงแก่อสัญกรรมของเจียงสามารถเป็นเหตุผลให้ประชาชนไปรวมตัวกันบนท้องถนนเพื่อไว้อาลัย
อย่างไรก็ตาม ‘วิลลี วอ-แลป แลม’ (Willy Wo-Lap Lam) นักวิจัยจากเจมส์ทาวน์ ฟาวเดชั่น (Jamestown Foundation) หน่วยงานคลังสมองด้านการเมืองและนโยบายความมั่นคงมองว่า ภายใต้การกุมอำนาจของสี จิ้นผิง ยากที่จะเกิดเหตุประท้วงใหญ่ซ้ำรอยเหตุการณ์เทียนอันเหมิน และการอสัญกรรมของเจียงไม่น่าจะสร้างแรงกระเพื่อมในการเมืองจีนได้