แต่กองทัพเมียนมาก็ใช้ความรุนแรงตอบโต้ จนบีบให้คนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยหันไปจับอาวุธขึ้นสู่ และนั่นยิ่งทำให้กองทัพใช้กำลังปราบปรามกองกำลังฝ่ายต่อต้านหนักหน่วงขึ้น จนเรียกได้ว่าตอนนี้สถานการณ์ในหลายพื้นที่ของเมียนมาเหมือนเป็นสงครามกลางเมือง
แม้พลเอกอาวุโส ‘มิน อ่อง หล่าย’ บอกว่าจะจัดการเลือกตั้งในปีนี้เพื่อให้มี “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” แต่การเจรจาระหว่างกองทัพและฝ่ายต่อต้านที่ดูยากจะเกิดขึ้น แม้มีเสียงเรียกร้องจากอาเซียนและประชาคมโลก
2 ปีรัฐประหารเมียนมา กองทัพใช้การโจมตีทางอากาศเพิ่มขึ้น
เมียนมาประกาศกฎเลือกตั้งฉบับใหม่ เกมที่เล่นยังไงก็ชนะ?
ก็อาจทำให้ยากที่จะเชื่อได้ว่า การเลือกตั้งที่ผู้นำรัฐประหารเมียนมาอยากให้เกิด จะนำมาสู่สันติภาพจริงได้อย่างไร
ป่าทางตอนเหนือของเมียนมาแห่งนี้ ถูกใช้เป็นโรงงานผลิตอาวุธของสมาชิกกองกำลังพิทักษ์ประชาชน หรือ พีดีเอฟ กลุ่มพลเรือนที่จับอาวุธขึ้นต่อสู้กับการปราบปรามโหดร้ายของรัฐบาลทหารเมียนมา
ไม่ว่าจะเป็นการผลิตดินประสิว นำไปประกอบเป็นดินปืน หรือการทำปืนไรเฟิล พวกเขาบอกว่า เรียนรู้วิธีทำอาวุธเหล่านี้จากอินเทอร์เน็ตหรือยูทูบ โดยไม่เคยฝึกมาก่อน
‘เนย์ มิน’ หนึ่งในสมาชิกบอกว่า เขาอาศัยทักษะภูมิความรู้ด้านวิศวกรรมและเครื่องจักรที่มีอยู่ บวกกับดูตัวอย่างจากอาวุธที่ยึดมาได้แล้วทำตามแบบ โดยตอนนี้สามารถผลิตอาวุธหนักบางชนิดได้แล้ว
กลุ่มของเนย์ มิน เป็นหนึ่งในกองกำลังติดอาวุธพีดีเอฟในภูมิภาคสะกายที่ต่อสู้กับกองทัพเมียนมา นอกจากอาวุธที่ยึดได้และที่ซื้อจากตลาดมืด นักรบพีดีเอฟเหล่านี้ยังพยายามผลิตอาวุธด้วยตัวเอง
แม้การทดสอบอาวุธผลิตเองหลายครั้งจะประสบความสำเร็จ แต่มันก็สร้างความสูญเสียได้เช่นกัน สมาชิกพีดีเอฟบางคนบอกว่าต้องสูญเสียการมองเห็นไปเมื่อดินปืนที่ผสมอยู่เกิดระเบิดขึ้นมา
นักรบเหล่านี้เป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ของเมียนมาที่ต่อต้านการรัฐประหาร โดยเลือกเข้าป่าจับอาวุธขึ้นสู้ หลังกองทัพเมียนมาใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนที่ออกมาประท้วงต้านรัฐประหารอย่างสันติ จนตอนนี้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 2,800 คน
การหยิบปืนขึ้นสู้จึงถูกมองเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ พีดีเอฟถูกก่อตั้งโดยรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ หรือ เอ็นยูจี ซึ่งเป็นการรวมตัวของบรรดาสมาชิกรัฐสภาที่ถูกทหารยึดอำนาจ ผู้นำการประท้วงต้านรัฐประหาร และกลุ่มชาติพันธุ์ โดย NUG เรียกตัวเองว่าเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมของเมียนมา และได้ประกาศทำสงครามกับกองทัพเพื่อปกป้องประชาชน ฟื้นฟูประชาธิปไตย
ปฏิบัติการของพีดีเอฟส่วนใหญ่ดำเนินไปภายใต้ระบบสั่งการร่วมของ NUG และกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์หลายกลุ่มที่ต่อสู้กับกองทัพเมียนมายาวนานหลายทศวรรษ โดยนอกจากพีดีเอฟก็ยังมีกองกำลังต่อต้านรัฐประหารอื่นๆ ที่เป็นพันธมิตร ต่อสู้กับกองทัพในระดับท้องถิ่นของตนเองด้วย
เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา NUG ประกาศว่ากองกำลังพีดีเอฟและพันธมิตรกองกำลังชาติพันธุ์ควบคุมดินแดนในเมียนมาได้มากกว่าครึ่ง ขณะที่ดินแดนภายใต้การควบคุมอย่างมีเสถียรภาพของกองทัพมีอยู่เพียงร้อยละ 17
การมีอยู่ของ NUG และกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐประหารจึงเป็นสิ่งยืนยันว่า แม้กองทัพยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของ ‘อองซาน ซูจี’ ที่มาจากการเลือกตั้ง และเข้าควบคุมสถาบันการเมืองต่างๆ แต่ไม่อาจได้ความชอบธรรมในการปกครอง
แต่ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในเมียนมา 2 ปีหลังการรัฐประหารก็เข้าสู่สภาพสงครามกลางเมือง เมื่อกองทัพตอบโต้กองกำลังฝ่ายต่อต้านด้วยวิธีรุนแรงขึ้น เช่น การโจมตีทางอากาศแบบไม่เลือกและเผาหมู่บ้าน
แม้รัฐบาลทหารเมียนมาบอกว่าการโจมตีทางอากาศพุ่งเป้าไปยังพื้นที่ครอบครองของฝ่ายต่อต้าน แต่บ่อยครั้งที่พลเรือนตกเป็นเหยื่อ เช่น การโจมตีหมู่บ้านแห่งหนึ่งในภูมิภาคสะกายเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้มีเด็กนักเรียนเสียชีวิตถึง 11 คน เนื่องจากโรงเรียนของพวกเขาถูกโจมตีด้วย
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกการโจมตีทางอากาศของกองทัพเมียนมาว่าเป็น “การลงโทษแบบเหมารวม” ต่อพลเรือนที่ถูกเข้าใจว่าสนับสนุนกองกำลังฝ่ายต่อต้าน และการกระทำหลายอย่างของกองทัพก็มีแนวโน้มเข้าข่ายอาชญกรรมต่อมนุษยชาติ
แม้รัฐบาลสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปใช้มาตรการคว่ำบาตรและขึ้นบัญชีดำต่อบุคคลและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทหารเมียนมา
อาเซียนที่ยึดหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในชาติสมาชิกมายาวนาน ก็ไม่เชิญพลเอกอาวุโส ‘มิน อ่อง หล่าย’ ผู้นำรัฐประหารเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ
ส่วนคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก็มีมติประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเรียกร้องรัฐบาลทหารเมียนมาปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด
แต่แรงกดดันเหล่านี้ก็ยังไม่มากพอจะทำให้รัฐบาลทหารเมียนมาหยุดใช้ความรุนแรงกับประชาชน โดยการมีจีนซึ่งเป็นทั้งเพื่อนบ้านและคู่ค้ารายใหญ่ และรัสเซียซึ่งเป็นผู้ส่งออกอาวุธให้คอยหนุนหลังในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ยิ่งทำให้การคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกยังไม่พอสร้างแรงกดดันให้กับรัฐบาลทหารเมียนมา
ขณะเดียวกัน ชาติตะวันตกเองก็ถูกวิจารณ์ว่า ยังกดดันรัฐบาลทหารเมียนมาน้อยเกินไป และให้การสนับสนุนรัฐบาล NUG และกองกำลังฝ่ายต่อต้านไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกรณีการสนับสนุนยูเครนที่ถูกรัสเซียรุกราน
โดยล่าสุด สภาที่ปรึกษาพิเศษว่าด้วยเมียนมา ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของผู้เชี่ยวชาญอิสระเพื่อทำงานสนับสนุนการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน สันติภาพและประชาธิปไตยในเมียนมาหลังเกิดการรัฐประหารยังเผยแพร่รายงานที่ระบุว่า มีบริษัทหลายแห่งใน 13 ประเทศ ทั้งในยุโรป เอเชีย และสหรัฐอเมริกา ให้ความช่วยเหลือรัฐบาลทหารเมียนมาไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ด้วยการจัดหาวัตถุดิบ เครื่องจักร หรือเทคโนโลยีให้กับกิจการของรัฐในเมียนมาที่ผลิตอาวุธป้อนกองทัพ
สภาที่ปรึกษาพิเศษฯ ชี้ว่าอาวุธที่ผลิตได้เหล่านี้อาจถูกนำไปใช้ประหัตประหาร ประชาชนเมียนมา พร้อมเรียกร้องให้บริษัทเหล่านี้หยุดการทำธุรกิจกับกองทัพเมียนมาและบริษัทที่เกี่ยวข้องทันที ไม่ว่าจะทำธุกิจทางตรงหรืออ้อม โดยประเทศต่างๆ มีหน้าที่ทำให้แน่ใจว่าบริษัทของตนเองจะไม่สนับสนุนให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะโดยไม่ตั้งใจก็ตาม
แต่ข้อมูลจากรายงานนี้ก็ทำให้นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าสะท้อนให้เห็น “การพูดอย่างทำอย่าง” เมื่อมองว่ารัฐบาล NUG ซึ่งมาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติในการจัดหาอาวุธป้องกันตนเอง แต่กลับมีประเทศจำนวนมากที่อ้างว่าไม่ต้องการแทรกแซงกิจการภายในของเมียนมา ที่เมินเฉยต่อการที่บริษัทจองตัวเองสนับสนุนอาวุธให้เผด็จการเมียนมาทั้งทางตรงและอ้อม
ท่ามกลางการส่งสัญญาณจากพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย เตรียมจัดการเลือกตั้งในเดือนสิงหาคมปีนี้ โดยบอกว่านี่เป็นก้าวสำคัญไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตยแบบหลายพรรคที่แท้จริงและงอกงามอย่างมีระเบียบวินัย”
แต่ภายใต้สถานการณ์ที่รัฐบาลทหารเป็นผู้ควบคุมกฎเกณฑ์ ความรุนแรงจากการสู้รบระหว่างกองทัพและกองกำลังฝ่ายต่อต้านที่ยังไม่ยุติ ตลอดจนไม่มีสัญญาณว่าการเจรจาระหว่างฝ่ายที่เกี่ยวของในวิกฤตจะเกิดขึ้น โอกาสที่การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นไปอย่างเสรีและเป็นธรรมก็ยากที่จะเกิดขึ้น เส้นทางสู่สันติภาพและประชาธิปไตยของเมียนมาก็ยังเป็นสิ่งห่างไกล