จากกรณีที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประเมินว่า จำนวนประชากรของอินเดียคาดว่าจะแซงหน้าแชมป์เก่าที่ครองบัลลังก์มานานกว่า 20 ปีอย่างจีนภายในปีนี้ โดยประชากรอินเดียคาดว่าจะสูงถึง 1.429 พันล้านคนภายในสิ้นปีนี้ ส่วนจีนจะมีประชากรเป็นอันดับสองที่ประมาณ 1.426 พันล้านคน
จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นของอินเดียหมายความว่า มันมีแนวโน้มที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตต่อไป เพิ่มจำนวนแรงงาน เพิ่มกำลังซื้อสินค้าในตลาดโลก และมีบทบาทมากขึ้นในกิจการระดับโลก
ต้องเท้าความย้อนกันไปก่อนว่า เมื่อก่อนอินเดียไม่ได้มีประชากรมากขนาดนี้ โดยช่วงหลังจากได้รับเอกราช อินเดียขณะนั้นมีประชากรเพียงประมาณ 350 ล้านคน จึงได้นำโครงการวางแผนครอบครัวระดับชาติมาใช้เป็นครั้งแรกในปี 1952 โดยเน้นที่การส่งเสริมให้แต่ละครอบครัวมีลูกอย่างน้อย 2 คน
ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1960 ประชากรอินเดียเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นมาก โดยเฉลี่ยแต่ละครอบครัวมีลูกถึง 6 คน จนรัฐบาลอินเดียต้องพยายามควบคุมอัตราการเกิดอย่างเข้มงวด สวนทางกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นไปอย่างช้า ๆ
หวังเพิ่มประชากร มณฑลเสฉวนแก้กฎหมาย ไม่แต่งงานก็มีลูกได้
ชาวจีนลังเลมีลูกเพิ่ม แม้ประชากรลดลงครั้งแรกในรอบ 60 ปี
มหานครมุมไบ ส่อประชากรล้นทะลักเมือง ในอีกไม่กี่ทศวรรษ
ทั้งนี้ อัตราการเกิดของอินเดียนั้นชะลอตัวลงพอสมควรในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมากพอที่จะทำให้มีประชากรวัยทำงานจำนวนมาก คือ 1.1 พันล้านคน หรือ 75% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งถือว่ามากกว่าประเทศเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ ที่กำลังเผชิญกับสังคมผู้สูงอายุ
เมื่อเทียบกันแล้ว ประเทศจีนนั้นกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่สังคมสูงวัย โดยส่วนหนึ่งเกิดจากจำนวนประชากรที่ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 60 ปี
ขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนเติบโตเพียง 3% เท่านั้นในปี 2022 โดยเกิดขึ้นจากทั้งสถานการณ์โควิด-19 และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นกับชาติตะวันตก ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมและนักลงทุนพากันหันไปพิจารณาจุดหมายอื่นในการลงทุนหรือตั้งโรงงานนอกเหนือจากจีน ทำให้เป็นเรื่องน่าสนใจว่า อินเดียจะฉวยคว้าโอกาสเหล่านี้ไว้ได้หรือไม่?
คำตอบของเรื่องนี้คือ เมื่ออินเดียกำลังมีประชากรวัยทำงานมากขึ้น อินเดียจะต้องพยายามสร้างงานให้เพียงพอสำหรับคนนับล้านที่จะเข้ามาในตลาดแรงงานทุกปี ซึ่งเป็นความท้าทายที่อินเดียกำลังประสบความล้มเหลว ดังนั้น อินเดียจำเป็นต้องดึงดูดการลงทุนทั่วโลก แต่หากทำไม่ได้ จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นนี้ก็จะกลายเป็นฝันร้ายของอินเดีย และทำให้ปัญหาการว่างงานที่รุนแรงอยู่แล้ว ยกระดับไปสู่หายนะ
มาเฮช วิยาส หัวหน้าผู้บริหารของศูนย์สังเกตการณ์เศรษฐกิจอินเดีย (CMIE) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยข้อมูลในมุมไบ กล่าวว่า ทางการมองว่า ประชากรวัยหนุ่มสาวที่เพิ่มขึ้นทำให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในวัยทำงาน (15-64 ปี) และนี่เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจต่อไป
จากข้อมูลของวิยาส สภาวะดังกล่าวได้ช่วยให้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียตั้งแต่ปี 1990 “ในทศวรรษที่ 1990 อินเดียประสบความสำเร็จค่อนข้างดีในการเคลื่อนย้ายแรงงานจากฟาร์มไปยังโรงงาน ... นี่คือการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่เกิดจากการแทรกแซงนโยบายและได้รับความช่วยเหลือจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากร”
วิยาสเสริมว่า นอกจากแรงงานจำนวนมากแล้ว ในทางทฤษฎี ประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมากสามารถกลายเป็นแหล่งการลงทุนในอนาคตได้เช่นกันหากพวกเขามีรายได้ดีและเก็บออมเงินได้
แต่การที่แรงงานรุ่นใหม่จะมีรายได้และเก็บออมเงินได้ดีนั้น จำเป็นต้องมีงานที่ให้ผลตอบแทนดีเพียงพอซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับเศรษฐกิจสมัยใหม่
ข้อมูลจากทางการอินเดียระบุว่า อัตราการว่างงานอย่างเป็นทางการของอินเดียแตะระดับสูงสุดในรอบ 45 ปีที่ 6.1% ในปี 2017-18 ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจาก 2.7% ของเมื่อช่วงปี 2011-12 ส่วนเมื่อปี 2021-22 ระดับการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.1%
แต่ข้อมูลบางชิ้นบ่งชี้ว่า จำนวนผู้ว่างงานของอินเดียกำลังสูงขึ้นมาก จากข้อมูลของ CMIE พบว่า อัตราการว่างงานของอินเดียในเดือนมีนาคม 2023 อยู่ที่ 7.8% และสูงขึ้นไปอีกถึง 8.5% ในหลายเมืองของอินเดีย
ตามการวิเคราะห์ของทางการ แต่ละปีมีแรงงานเกือบ 5 ล้านคนเข้าสู่ตลาดแรงงานในอินเดีย แม้จะมีโครงการสนับสนุนที่เชื่อมโยงกับการผลิตของรัฐบาลซึ่งคาดว่าจะสร้างงานได้ 6 ล้านตำแหน่งใน 5 ปี ก็ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับตลาดแรงงานที่กำลังเติบโตของอินเดีย
ฮิมานชู รองศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยยาวาฮาร์ลาล เนห์รู กล่าวว่า “การว่างงานเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเศรษฐกิจอินเดียในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา และมันไม่มีสัญญาณของการพัฒนาที่ดีขึ้นเลย”
ในขณะเดียวกัน ตามรายงานของธนาคารโลก การเติบโตของการลงทุนในอินเดียลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากค่าเฉลี่ยรายปีที่ 10.5% ระหว่างปี 2000-2010 เหลือ 5.7% ระหว่างปี 2011-2021
รายงานระบุปัจจัยหลายประการที่ทำให้การเติบโตของการลงทุนลดลง ตั้งแต่ความกังวลเกี่ยวกับแหล่งจ่ายไฟและโครงสร้างพื้นฐานกลุ่มถนนและทางรถไฟ
นอกจากนี้ การล็อกดาวน์จากโควิด-19 ยังส่งผลให้แรงงาน 40 ล้านคนจากชนบทของอินเดียที่ทำงานในเมือง อพยพย้ายถิ่นครั้งใหญ่กลับไปยังหมู่บ้านของตน เมื่อตลาดงานฟื้นตัวหลังจากการระบาดลดลง ก็ส่งผลให้สัดส่วนแรงงานในฟาร์มเพิ่มขึ้น ในขณะที่สัดส่วนของงานภาคโรงงานการผลิตลดลง
เมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียงอื่น ๆ เช่น บังกลาเทศ หรือแม้แต่เวียดนาม ที่แม้จะมีสัดส่วนประชากรสูงอายุค่อนข้างมาก แต่ก็ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากกว่าอินเดีย และมีการสร้างงานที่สูงกว่าด้วย
วิยาสบอกว่า “ประเทศเหล่านี้มีสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มั่นคงและตัดสินใจได้รวดเร็วกว่ามาก ... ปัญหาใหญ่ที่สุดของเราคือความไม่แน่นอน”
เขาเสริมว่า รัฐบาลอินเดียจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อเปลี่ยนการรับรู้นั้น และทำให้แน่ใจว่า อินเดียมีแรงจูงใจในการสร้างงานที่มีคุณภาพดีเพียงพอ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางคนมองว่า นี่เป็น “โอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต” ของอินเดีย และจำเป็นต้องเสริมสร้างโครงการฝึกงานและขยายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาทักษะของแรงงาน
วิยาสกล่าวว่า ในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสก็ต้องตระหนักด้วยว่า โอกาสสามารถเปลี่ยนเป็นวิกฤตได้เช่นกัน “อินเดียต้องเพิ่มการลงทุนและดึงคนทั้งหมดเข้าสู่ตลาดแรงงานให้ได้ ... มิฉะนั้น นี่อาจกลายเป็นหายนะทางประชากรศาสตร์”
เรียบเรียงจาก Al Jazeera
ภาพจาก AFP