รัฐนิวเม็กซิโกของสหรัฐฯ เผชิญไฟป่ารุนแรง

ภาพควันขนาดใหญ่จากไฟป่า ที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือรัฐนิวเม็กซิโก พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯเมื่อวานนี้ 17 มิ.ย. รายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบไฟป่าครั้งแรกในพื้นที่เขตสงวนแห่งหนึ่ง เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น

ก่อนที่เปลวไฟได้ลุกลามไปทั่วพื้นที่กว่า 3,000 ไร่ หลังจากนั้นในช่วงเวลาก่อน 19.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น ทางการได้มีคำสั่งให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากไฟป่า อพยพออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน

รายการรอบโลก DAILY

นอกจากรัฐนิวเม็กซิโกแล้ว รัฐแคลิฟอร์เนียเป็นอีกรัฐที่เผชิญกับไฟป่ารุนแรงเช่นเดียวกัน ภาพของไฟป่าที่ลุกโชนจนทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นหมอกควันสีส้มแดง ในเมืองกอร์มัน ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากนครลอสแอนเจลิส ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 96.5 กิโลเมตร

เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า ตอนนี้พบไฟป่าได้เผาผลาญพื้นที่ป่าไปแล้วกว่า 35,000 ไร่ ขณะที่การปฏิบัติงานภาคพื้นดิน มีนักดับเพลิงประมาณ 400 นาย พร้อมด้วยรถดับเพลิง 70 คัน รวมถึงรถแทรกเตอร์ 2 คัน กำลังระดมกำลังเพื่อดับไฟป่าที่โหมกระหน่ำตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

นอกจากใช้กำลังบนภาคพื้นดินแล้ว ทางการสหรัฐฯ ยังได้ใช้วิธีการดับเพลิงด้วยการปฏิบัติการทางอากาศ โดยเจ้าหน้าที่ได้ใช้เฮลิคอปเตอร์เทน้ำเพื่อดับไฟป่าอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังควบคุมไฟป่าได้เพียงร้อยละ 8 เท่านั้น เพราะอุปสรรคสำคัญของเจ้าหน้าที่ มาจากหลายปัจจัย เช่น อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ความชื้นต่ำ และลมแรง ซึ่งเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการลุกลามของเพลิง

อย่างไรก็ตาม หัวหน้าหน่วยดับเพลิงในนครลอสแอนเจลิส ระบุว่า ไฟป่าที่เกิดขึ้นยังไม่ได้สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนของประชาชน แต่เพื่อความปลอดภัยได้สั่งการอพยพผู้พักอาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ว  อย่างไรก็ดี จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครอพยพออกจากพื้นที่และส่วนมากยังใช้ชีวิตกันปกติ

ส่วนรัฐใกล้เคียงอย่างรัฐแอริโซนา มีรายงานว่า เมืองฟินิกซ์ต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนต่อไปอีกสัปดาห์หนึ่ง และมีการคาดการณ์ว่า พื้นที่ดังกล่าวอาจเผชิญกับอุณหภูมิสูงเกิน 43 องศาเซลเซียส  ขณะที่สัตว์ต่างๆ ที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติที่ใช่ทะเลทรายแห้งแล้ง ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องจับตาดูพวกมันอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนขึ้น ด้านเจ้าหน้าที่ของสวนสัตว์ในเมืองฟินิกซ์ ก็มีวิธีคลายร้อนช่วยสัตว์ต่างๆ เช่น การวางสายยางและแผ่นทำความเย็น รวมถึงเติมน้ำในสระน้ำ ดินโคลน และเอาน้ำแข็งไว้ให้สัตว์ได้กิน

ส่วนเมืองดีทรอยต์ เมืองใหญ่ของรัฐมิชิแกน ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของสหรัฐฯ ก็เผชิญกับคลื่นความร้อนรุนแรงจนทุบสถิติเช่นเดียวกัน และยังต้องเตรียมพร้อมรับมือกับคลื่นความรุนแรงสุดในรอบกว่า 10 ปี เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่า อุณหภูมิจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นประมาณกว่า 30 องศาเซลเซียส เมื่อวานนี้ ชาวเมืองดีทรอยต์ได้ยอมรับกับนักข่าวว่าสภาพอากาศอบอุ่นขึ้น

แม้ว่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเขาที่จะเพลิดเพลินกับวันหยุดพักผ่อนที่ชายหาด หรือในสวนสาธารณะ แต่บางคนก็บ่นว่า ร้อนจนแทบทนไม่ไหว

ส่วนทางตอนใต้ของรัฐมิชิแกนเผชิญกับพายุฝนลมแรงพัดถล่ม จนทำให้ข้าวของต่างๆ รวมถึง แทรมโพลีน ถูกลมพัดปลิวออกไปยังทุ่งนาที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง

นอกจากพายุรุนแรงในรัฐมิชิแกนแล้ว เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมารัฐฟลอริดาก็เผชิญกับพายุทอร์นาโด ทำให้เกิดพายุฝนรุนแรงและเกิดน้ำท่วมขัง ซึ่งภัยพิบัติน้ำท่วมที่เกิดขึ้นทำให้ รอน เดอซาติส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ต้องออกมาประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ถัดลงมาที่ทวีปอเมริกากลางและอเมริกา ตอนนี้บางประเทศในสองทวีปนี้กำลังเผชิญกับวิกฤตจากสภาพอกาศเลวร้าย หลังจากพื้นที่บริเวณชายฝั่งแปซิฟิกเผชิญกับฝนตกหนักตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยฝนที่ตกหนักเกิดจากความกดอากาศต่ำที่พัดปกคลุมพื้นที่บางส่วนของอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ซึ่งนี่ทำให้หลายประเทศได้ออกประกาศเตือนถึงความเสี่ยงจากดินถล่ม หินถล่ม และน้ำท่วมเพิ่มขึ้น

ล่าสุด หนึ่งในประเทศแถบอเมริกากลางที่ได้รับผลกระทบหนักจากภัยพิบัติหนักที่สุด คือ เอลซัลวาดอร์ มีรายงานว่าฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดดินถล่ม และมีอุบัติเหตุที่เกิดจากต้นไม้หักโค่นบนถนนหนทาง ขณะที่ชาวบ้านเกือบ 900 คนต้องอพยพไปอยู่ศูนย์พักพิง ภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 11 ราย ในจำนวนนี้รวมเด็กอีก 3 ราย

ส่วนที่ประเทศเอกวาดอร์ มีรายงานว่า ที่นั่นก็เผชิญกับดินถล่มหลังพายุฝนพัดถล่มเช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังทำงานแข่งกับเวลาท่ามกลางพายุฝน เพื่อเคลื่อนย้ายร่างของผู้เสียชีวิตออกมาจากเนินเขา โดยจนถึงตอนนี้เจ้าหน้าที่สามารถเก็บกู้ร่างผู้เสียชีวิตได้ทั้งหมด 8 ศพ และสามารถช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 12 คน

นอกจากนี้ ทีมกู้ภัยได้นำทีมเครื่องจักรกลหนักขึ้นไปด้านบนเนินเขาบาโนส ซึ่งเป็นเมืองยอดนิยมของบรรดานักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ เพื่อค้นหาร่างผู้เสียชีวิต และช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุดินถล่มเพิ่มเติม พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณเนินเขาให้อพยพไปยังสถานที่ปลอดภัย

 

ส่วนเมื่อวานนี้ 17 มิ.ย. ถนนหนทางในพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติยังเต็มไปด้วยดินโคลน ทำให้การขนส่งสาธารณะได้รับผลกระทบตามไปด้วย

ชาวบ้านต้องเดินเท้า พร้อมกับหอบหิ้วข้าวของออกมาจากบ้านเรือนของตัวเอง ส่วนโรงเรียนก็ต้องปิดทำการเรียนการสอน

ท่ามกลางความเสียหายที่เกิดขึ้น หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้ออกมาเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ช่วยค้นหาร่างผู้เสียชีวิตที่เป็นคนในครอบครัวของเขา

ทั้งนี้ ฝนที่ตกลงมาปกคลุมทั่วพื้นที่ทั่วชายฝั่งแปซิฟิก ตั้งแต่ตอนใต้ของเม็กซิโก ไปจนถึงทางตะวันตกของปานามา ทำให้นักพยากรณ์อากาศคาดการณ์ว่า ในสัปดาห์นี้บริเวณดังกล่าวอาจเจอกับฝนตกหนักเพิ่มขึ้นตลอดทั้งสัปดาห์ พร้อมเตือนว่า สภาพอากาศอาจรุนแรงขึ้นจากพายุที่คาดว่าจะก่อตัวขึ้นเหนืออ่าวเม็กซิโก

ขณะที่เวลานี้มหาสมุทรแปซิฟิกและแอตแลนติกได้เข้าสู่ช่วงเริ่มต้นของฤดูเฮอริเคนแล้ว โดยมีการคาดการณ์ว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมถึงปรากฏการณ์ลานีญาและกระแสน้ำอุ่นในมหาสมุทร อาจทำให้เกิดพายุบ่อยและรุนแรงกว่าปกติ

ส่วนความเคลื่อนไหวในอเมริกาใต้ ผู้นำบราซิลได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการปกป้องผืนป่าแอมะซอน ซึ่งเป็นป่าฝนเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

ประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลของเขาเร่งดำเนินการปราบปรามกลุ่มอาชญากรที่ทำลายผืนป่าแอมะซอน หลังจากร่างแผนการรักษาความปลอดภัยให้กับผืนป่าแอมะซอนสำเร็จ และได้เงินทุนสนับสนุนเพิ่มเติม

โดยประธานาธิบดรีลูลาระบุว่า  ก่อนหน้านี้รัฐบาลบราซิลไม่ได้มีแผนการที่ชัดเจน และไม่มีเงินทุนที่สนับสนุนภารกิจดังกล่าว แต่ในปัจจุบัน บราซิลมีทั้งแผนการ และเงินทุนในการต่อสู้กับการทำลายป่าแล้ว ดังนั้นควรเริ่มดำเนินการอย่างเร็วที่สุด เนื่องจากยังมีงานที่ต้องทำอีกมากเพื่อจัดตั้งศูนย์ตำรวจสากลในเมืองมาเนาส์ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีลูลายังเปิดเผยว่า เวลานี้รัฐบาลบราซิลได้โอนเงินเข้ากองทุนสำหรับแผนการปกป้องป่าแอมะซอนจำนวน 58.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2,000 ล้านบาท

เงินทุนนี้ได้มาจากกองทุนแอมะซอนมูลค่า 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 47,000 ล้านบาท ที่เดิมจัดตั้งโดยประเทศนอร์เวย์ เพื่อสนับสนุนความยั่งยืนและหยุดการตัดไม้ทำลายป่าอย่างผิดกฎหมายในป่าแอมะซอน

กองทุนนี้บริหารโดยธนาคารเพื่อการพัฒนาของบราซิล (BNDES) ที่ได้รับการสนับสนุนเงินบริจาคจากเยอรมนี อังกฤษ เดนมาร์ก สหภาพยุโรป และสหรัฐฯโดยแผนการรักษาความปลอดภัยให้กับป่าแอมะซอน ถือเป็นโครงการแรกที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนที่มุ่งต่อสู้กับอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคแห่งนี้

สาเหตุที่ต้องระดมเงินทุนเพื่อการอนุรักษ์ เป็นเพราะป่าแอมะซอนเป็นผืนป่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความกว้างถึง 7.4 ล้านตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่กว่าร้อยละ 40 ของภูมิภาคลาตินอเมริกา และครอบคลุมพื้นที่ 9 ประเทศ คือ โบลิเวีย บราซิล โคลอมเบีย เอกวาดอร์ เฟรนช์เกียนา กายอานา เปรู ซูรินาเม และเวเนซุเอลา

ที่ผ่านมา ป่าแอมะซอนมีบทบาทสำคัญที่สามารถช่วยควบคุมสภาพอากาศของโลก เนื่องจากเป็นป่าที่สามารถผลิตออกซิเจนให้กับโลกประมาณร้อยละ 20

ขณะเดียวกัน ที่นี่ก็ยังเป็นบ้านของชนพื้นเมืองและชุมชนดั้งเดิม ซึ่งมีแนวทางการพิทักษ์ และดูแลป่าที่ยั่งยืน รวมถึงยังเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลกด้วย นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าผืนป่าแห่งนี้ยังเป็นบ้านของสัตว์อีกหลายสายพันธุ์ที่ยังไม่ได้ถูกค้นพบ

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันผืนป่าแห่งนี้กำลังถูกทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากภาคอุตสาหกรรมที่เข้าไปแสวงหาทรัพยากรมหาศาลในระยะเวลาอันสั้นเพื่อผลกำไร เช่น การตัดไม้ทำลายป่าอย่างผิดกฎหมาย การขุดทอง และแก๊งอาชญากรที่ใช้ป่าแอมะซอน เป็นช่องทางในการค้ายาเสพติดและการลักลอบขนสัตว์ป่าเขตร้อน

ศาลรธน. สั่งรวมสำนวนไต่สวนคดี 112 ในคดียุบพรรคก้าวไกล สั่งพิจารณาต่อ 3 ก.ค.

10 อันดับเมืองที่บ้านมีราคาแพงจนคนทั่วไปไม่สามารถซื้อได้อีกต่อไปแล้ว

วิเคราะห์บอล! ยูโร 2024 โปรตุเกส พบ เช็ก 18 มิ.ย.67