เขื่อนในรัฐมินนิโซตาของสหรัฐฯ เสียหายหลังน้ำท่วมหนัก

โดย PPTV Online

เผยแพร่

ตอนนี้หลายประเทศกำลังเผชิญหน้ากับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยบางพื้นที่เผชิญกับฝนตกหนักจนทำให้เกิดอุทกภัย ขณะที่บางที่ร้อนจัดจนผู้คนแทบจะใช้ชีวิตไม่ได้

ล่าสุด ผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในสหรัฐฯ เริ่มรุนแรงขึ้นจนทำให้เขื่อนในรัฐมินนิโซตาเสียหาย ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงภาวะโลกร้อน ที่อาจทำให้เขื่อนต่างๆ ทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลกเสี่ยงต่อการพังทลาย

วินาทีที่เขื่อนราปิดาน อายุ 114 ปีที่บลูเอิร์ธเคาน์ตี ในรัฐมินนิโซตาของสหรัฐฯ ถูกกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากกัดเซาะก่อนที่มวลน้ำมหาศาลจะไปกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งด้านตะวันตก จนทำให้บ้านทั้งหลังที่อยู่บริเวณนั้น ร่วงลงไปในกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก

คอนเทนต์แนะนำ
หมีขั้วโลกในอ่าวฮัดสัน เสี่ยงสูญพันธุ์จากภาวะโลกร้อน
ฝ่าวิกฤตโลกเดือด ทุบสถิติ 120,000 ปี ด้วยความพอเพียง

โลกร้อน รายการรอบโลก DAILY
น้ำท่วมในรัฐมินนิโซตาของสหรัฐฯ

ภาพถ่ายทางอากาศเผยให้เห็นว่า มวลน้ำมหาศาลดังกล่าวได้กัดเซาะพื้นที่ริมน้ำอย่างรุนแรง หลังพื้นที่ดังกล่าวเผชิญฝนตกหนักในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จนทำให้ เศษซากต่างๆ ที่ลอยมาด้วยไปขวางทางน้ำ

ก่อนที่มวลน้ำมหาศาลจะเปลี่ยนทิศทางการไหลไปทางแนวตะวันตกและทำลายโครงสร้างเขื่อน รวมถึงอาคารบ้านเรือนที่ตั้งอยู่บริเวณนั้น เจ้าหน้าที่ทางการกล่าวว่า การกัดเซาะบนฝั่งตะวันตกยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง แต่สภาพเขื่อนยังคงสมบูรณ์ และขณะนี้ยังไม่มีแผนอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ เพราะระดับน้ำเริ่มลดลงแล้ว

เจ้าหน้าที่ของคณะวิศวกรประจำกองทัพสหรัฐฯ และคณะกรรมการกำกับดูแลพลังงานของรัฐบาลกลาง ได้เดินทางไปยังสถานที่เกิดเหตุเมื่อวันอังคาร เพื่อประเมินความเสียหายต่อเขื่อนและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในเวลานี้

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ด้านวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อมเตือนว่า ความเสียหายและความเสี่ยงที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างเนื่องในรัฐมินนิโซตา กำลังตอกย้ำความเสี่ยงในการพังของเขื่อนต่างๆ ที่อยู่ทั่วสหรัฐฯ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ซึ่งจะทำให้เกิดสภาพอากาศสุดขั้วบ่อยขึ้น และเขื่อนส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 60 ปี ซึ่งโดยปกติแล้วเขื่อนที่สร้างในช่วงทศวรรษ 1930-1970 จะมีอายุอยู่ที่ประมาณ 50-100 ปี หรือหมายความว่าเขื่อนส่วนมากในสหรัฐฯ มีอายุเกินครึ่งของค่าเฉลี่ยการใช้งาน

นอกจากที่สหรัฐฯ แล้ว บางประเทศในทวีปเอเชียที่กำลังเข้าสู่ฤดูฝนและฤดูน้ำหลาก ก็เผชิญกับน้ำท่วมอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นประเทศเนปาลหรือประเทศจีน

ภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเมื่องคัสคี ประเทศเนปาล หลังฝนตกหนักจนมวลน้ำไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ และเกิดดินถล่มตามมา  ยอดผู้เสียชีวิตจนถึงขณะนี้อยู่ที่ 3 ราย ขณะเดียวกัน เต็ก กุมาร์ เจ้าหน้าที่ของเขตโมรังซึ่งอยู่ห่างจากกาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาลไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 500 กิโลเมตร ได้ระบุว่า เหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 4 ราย

สำหรับสถานการณ์ในภาพรวมทั่วเนปาล เมื่อวานนี้ เจ้าหน้าที่ทางการเนปาลระบุว่า ในช่วงสองวันที่ผ่านมา ฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่องตามเมืองต่างๆ ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 11 ราย และมีอีก 9 รายที่เสียชีวิตจากการถูกฟ้าผ่า

ที่ผ่านมา เนปาลซึ่งมีภูมิประเทศเป็นภูเขา มักจะเผชิญกับน้ำท่วมและดินถล่มในช่วงกลางเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกันยายน และมีผู้เสียชีวิตหลักหลายร้อยคนต่อปี  แต่สถานการณ์อาจย่ำแย่ลง เนื่องจากรายงานของ Asia Institute of Technology  หรือ AIT ชี้ว่า เนปาลเป็นประเทศที่เปราะบางและมีความเสี่ยงสูงที่เผชิญผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ซึ่งจะทำให้เกิดภัยพิบัติจนสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์ของชาวเนปาล การคาดการณ์ของ AIT ล่าสุดชี้ว่า เนปาลจะสูญเสีย GDP ราวร้อยละ 2.2 ต่อปี จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะเกิดขึ้นภายในปี 2050

นอกจากเนปาล อีกประเทศในเอเชียที่เผชิญกับน้ำท่วมคือ จีน สำนักข่าว CCTV รายงานว่า เมื่อวานนี้ เทศมณฑลเถาหยวน มณฑลหูหนานของประเทศจีนเผชิญกับฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำแยงซีเพิ่มสูงขึ้นและไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่บริเวณตอนกลางและตอนล่างของแม่น้ำ

นี่ส่งผลให้พืชในพื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรกว่า 4,500 ไร่ ต้องจมอยู่ใต้น้ำและบางส่วนเริ่มตาย สาเหตุที่ทำให้เกิดฝนตกหนักเป็นประวัติการณ์จนไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่บริเวณตอนกลางและตอนล่างของแม่น้ำแยงซี เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ทำให้พายุทวีความรุนแรงและคาดเดาทิศทางได้ยากขึ้นกว่าในอดีต

ในขณะที่บางประเทศเผชิญกับฝนตกหนักจากมรสุม  บางประเทศกลับเผชิญกับภาวะฝนไม่ตกตามฤดูกาล และบางประเทศที่เข้าสู่ฤดูร้อนเผชิญกับอากาศร้อนสุดขั้วจนกระทบต่อทุกมิติของชีวิตมนุษย์

เริ่มต้นที่อินโดนีเซีย เมื่อปีที่แล้วจนถึงปีนี้ พื้นที่กว่า 2 ใน 3 ของอินโดนีเซียรวมถึงเกาะชวาเผชิญกับภัยแล้งรุนแรงนับตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งเป็นผลมาจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่กินเวลานานกว่าปกติ  แม้ว่านักอุตุนิยมวิทยาจะคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำฝนจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ แต่เกษตรกรจำนวนมากในหลายพื้นที่ยังคงประสบปัญหาไม่มีน้ำใช้เพื่อการเพาะปลูกในฤดูเพาะปลูก

หนึ่งในกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบคือ ชาวเตงเกรีส ชาวฮินดูที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านในอุทยานแห่งชาติบนภูเขาไฟโบรโม ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่ยังมีการปะทุ  ชาวบ้านที่นั่นระบุว่า พวกเขาเผชิญกับภัยแล้งอย่างหนักจนไม่สามารถเพาะปลูกได้ตามปกติ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยเก็บเกี่ยวพืชผลได้ถึงปีละสามครั้ง

นี่ทำให้ชาวเตงเกรีสต้องพึ่งพาพิธีกรรมคาซาดา ซึ่งเป็นพิธีขอบคุณพระเจ้าแบบโบราณ เพื่อขอฝนในวันที่ผืนดินแห้งแล้ง

ชาวบ้านหลายพันคนต่างแบกตะกร้าผัก ผลไม้ แพะ หรือสัตว์อื่นๆ ขึ้นไปบนยอด เขาโบรโมที่สูงถึง 2.3 กิโลเมตร ก่อนที่จะโยนสิ่งของเครื่องบูชาเหล่านี้ลงไปในปล่องภูเขาไฟ

นอกจากอินโดนีเซียแล้ว ซีเรียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เผชิญกับคลื่นความร้อนจัดในฤดูร้อน โดยอุณหภูมิที่นั่นสูงถึง 40 องศาเซลเซียส อุณหภูมิที่สูงส่งผลกระทบต่อทั้งคนและสัตว์เลี้ยงในฟาร์มปศุสัตว์  ตอนนี้ประชาชนชาวซีเรียมากกว่า 1.8 ล้านคนอยู่ในภาวะต้องการน้ำแบบเร่งด่วน เพื่อยังชีพท่ามกลางอากาศที่ร้อนสุดขั้ว โดยกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กลุ่มผู้ลี้ภัยที่ต้องกางเต็นท์อยู่กลางแจ้งที่แสงแดดจัด

ขณะที่สัตว์เลี้ยงในฟาร์มโดยเฉพาะไก่ในพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต่างได้รับผลกระทบจากอากาศร้อนจัดและค่อยๆ ทยอยตาย เจ้าของฟาร์มไก่ระบุต่อผู้สื่อข่าวว่า อากาศที่ร้อนจัดในช่วง 15 วันที่ผ่านมา ทำให้ไก่ในฟาร์มของเขาตายเฉลี่ยวันละ 60-70 ตัว เนื่องจากไม่สามารถทนกับอุณหภูมิที่ร้อนจัดได้ และทางฟาร์มก็ไม่มีอุปกรณ์คลายร้อนที่เพียงพอ

ด้านคนเลี้ยงไก่ในฟาร์มอีกแห่งระบุว่า แม้จะมีอุปกรณ์ทำความเย็นในฟาร์มถึงสิบเครื่อง แต่อุณหภูมิภายในฟาร์มไก่ไม่ได้ลดลงมากนัก  และถ้าอากาศด้านนอกร้อนกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ไก่ในฟาร์มก็อาจจะตายได้เช่นกัน แม้จะเปิดเครื่องทำความเย็น

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ซีเรียเผชิญอากาศร้อนจัดเช่นนี้ คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลของมนุษย์ เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจาก World weather attribution ที่ศึกษาภัยแล้งในภูมิภาคตะวันออกกลางตั้งแต่เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2023  รายงานดังกล่าวระบุว่า หากมนุษย์ไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซีเรีย อิรัก และอิหร่าน จะไม่เผชิญกับภัยแล้งรุนแรงแบบที่เกิดขึ้นในเวลานี้

และถ้ามนุษย์ยังปล่อยให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องด้วยการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ภูมิภาคตะวันออกกลางจะเผชิญกับภัยแล้ง อากาศร้อนจัด จนเพาะปลูกไม่ได้ และนำไปสู่การโยกย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

Bottom-PL-HLW Bottom-PL-HLW

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

PPTVHD36

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ