จับตา "ทรัมป์" ลุยปราบผู้อพยพผิดกฎหมายครั้งประวัติศาสตร์

โดย PPTV Online

เผยแพร่

จับตา "โดนัลด์ ทรัมป์" ลุยขับเคลื่อนนโยบายเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังเข้ารับตำแหน่ง

หลังพิธีสาบานตน สิ่งที่ทุกฝ่ายจับตาอย่างใกล้ชิด คือ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะขับเคลื่อนนโยบายเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ตามที่เคยประกาศไว้ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะได้ลั่นวาจาไว้แล้วโดยบอกว่า

“เราจะเริ่มปฏิบัติการเนรเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา เราจะปิดพรมแดน เราจะหยุดการรุกรานของผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายในประเทศของเรา เราจะปกป้องดินแดนของเรา เราจะไม่ถูกยึดครอง เราจะไม่ถูกยึดครอง เราจะยึดอำนาจอธิปไตยของเรากลับคืนมา”

คอนเทนต์แนะนำ
คุณถูกไล่ออกแล้ว! “ทรัมป์” ประกาศปลด 4 เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว
สรุปทุกคำสั่งที่ “ทรัมป์” ลงนามในวันแรกของการเป็นประธานาธิบดี
สาบานตนสมัย "โดนัลด์ ทรัมป์" จุดเริ่มต้น "ยุคทองของอเมริกา"

ทรัมป์ รายการทันโลก DAILY
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์

หากยังจำกันได้ นี่คือคำสัญญาเรื่องการเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่ทรัมป์ประกาศไว้บนเวทีหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งนโยบายนี้ถือเป็นหนึ่งในวาระใหญ่ ที่ซื้อใจชาวอเมริกันฝั่งอนุรักษ์นิยม และส่งให้เขาได้รับชัยชนะ

ปฏิบัติการเนรเทศผู้อพยพออกนอกประเทศ จะควบคุมโดย  “ทอม โฮแมน” ชายที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ไว้วางใจให้รับหน้าที่ควบคุมชายแดน และขับเคลื่อนนโยบายต่อต้านผู้อพยพเข้าเมือง ซึ่งตามรายงานของนิวยอร์กไทมส์ และวอลล์สตรีทเจอร์นัล คาดว่า ปฏิบัติการบุกตรวจค้น และจับกุมครั้งใหญ่ทั่วประเทศอาจจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในวันอังคาร ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเป็นการทำงานเต็มวันวันแรกของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ โดยจะเริ่มที่นครชิคาโก ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรผู้อพยพจำนวนมาก

นอกจากนี้ โฮแมนยังเสนอเปิดสายด่วนให้ชาวอเมริกันแจ้งเบาะแสของผู้อพยพผิดกฎหมาย ที่พวกเขาคิดว่ามีประวัติก่ออาชญากรรมได้

ที่ผ่านมา สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (ICE) ดำเนินการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ปฏิบัติการที่จะเปิดฉากขึ้น หลังการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์ จะมุ่งเป้าไปที่ "เมืองปลอดภัย" (Sanctuary City) ซึ่งเมืองเหล่านี้คอยให้การคุ้มครองผู้อพยพที่อาศัยอยู่ภายในเมือง และมักจะไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง ในการจัดการกับผู้อพยพ โดยนอกจากชิคาโกแล้ว นครนิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส เดนเวอร์ และไมอามี ก็เป็นเมืองปลอดภัย ที่ตกเป็นเป้าหมายด้วยเช่นกัน

ทอม โฮแมน กล่าวในการประชุมพรรครีพับลิกันที่นครชิคาโกเมื่อเดือนที่แล้วว่า วันที่ 21 ม.ค. เจ้าหน้าที่จากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองฯ จะแห่เข้ามาในเมืองนี้ เพื่อตามหาอาชญากรและสมาชิกแก๊งต่างๆ คำประกาศนี้ ทำให้ทางการท้องถิ่นต้องเตรียมพร้อมรับมือความขัดแย้งและการเผชิญหน้ากับรัฐบาลกลางที่จะเกิดขึ้น

“เราก็ต้องทำตามกฎหมายและระเบียบปฏิบัติ เราแค่ต้องหาให้ได้ว่าปฏิบัติการจะเกิดขึ้นที่ไหน เตรียมชุมชนให้พร้อมโดยให้ข้อมูลที่พวกเขาต้องรู้ นั่นคือทั้งหมดที่เราทำได้ หากเกิดการบุกจับขึ้น ให้บันทึกข้อมูลของเจ้าหน้าที่ ICE ไว้ บันทึกข้อมูลของผู้อพยพที่ถูกพาตัวไป นั่นคือทั้งหมดที่เราทำได้ ฉันหมายความว่า เราไม่รู้ว่าทรัมป์จะทำอะไร ดังนั้นเราจึงต้องรอและเตรียมพร้อมเมื่อเขาทำ”

ผู้อพยพ รายการทันโลก DAILY
นโยบายเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย

หากเป็นรัฐบาลชุดก่อน ภายใต้การนำของ อดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองฯ จะมุ่งเน้นจับกุมผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย ที่มีประวัติก่ออาชญากรรมร้ายแรง และอาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ

แม้ว่าทีมงานของทรัมป์จะส่งสัญญาณว่าจะเริ่มจับกุมจากผู้อพยพที่มีประวัติก่ออาชญากรรมเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าผู้อพยพผิดกฎหมายที่อาศัยและทำงานในสหรัฐฯ มานานหลายปี โดยไม่มีประวัติอาชญากรรม ก็มีแนวโน้มที่จะติดร่างแห ถูกจับกุมและส่งกลับประเทศไปด้วย

ตามรายงานของ CBS News คาดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ จะกลับมาบุกตรวจค้นและจับกุมผู้อพยพผิดกฎหมาย ตามไซต์งานก่อสร้าง ซึ่งผู้รับเหมามักจ้างงานผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารรับรองการทำงาน

การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ปลุกกระแสความหวาดกลัวในหมู่ผู้อพยพ ทั้งกลุ่มที่ยังไม่ได้ข้ามแดนจากเม็กซิโกเข้าสหรัฐฯ รวมถึงกลุ่มที่ทำงานอยู่ในสหรัฐฯ มาแล้วหลายสิบปี

บรรยากาศตามศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้อพยพที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเม็กซิโก ติดกับชายแดนสหรัฐฯ ยังเต็มไปด้วยผู้อพยพที่รอจะข้ามแดน โดยทางศูนย์พักพิงยอมรับเองว่า พวกเขาไม่พร้อมจะรับรองคลื่นผู้อพยพที่จะถูกผลักดันออกจากสหรัฐฯ ตามมาตรการของทรัมป์

ขณะที่ ฮอร์เก-โลเปซ จิรอน ผู้อพยพจากฮอนดูรัส วัย 47 ปี ที่ตัดสินใจหนีความรุนแรงจากประเทศบ้านเกิด และหนีการถูกเลือกปฏิบัติจากรสนิยมรักเพศเดียวกัน มาอยู่ในสหรัฐฯ ตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ แสดงความเป็นกังวลต่ออันตรายที่อาจเกิดขึ้น หลังจากทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง

ปัจจุบัน โลเปซ จิรอน อาศัยอยู่ในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส โดยเขาทำงานเป็นพนักงานส่งอาหาร และขับรถโดยสาร ทั้งที่ไม่มีเอกสารรับรองมาตั้งแต่ปี 2000

“ผมไม่ได้วิตกกังวลขนาดนั้นหรอกนะ แต่ขณะเดียวกัน ผมก็กังวลว่าวันหนึ่งระหว่างที่ขับรถอยู่ แล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง ตำรวจอาจจะเรียกให้ผมหยุด และขอตรวจสอบประวัติของผม แม้ว่าตอนนี้ ผมจะแน่ใจว่ายังไม่โดนเนรเทศ เนื่องจากคำสั่งยังถูกระงับไว้ แต่ผมก็ไม่ทราบว่าตำรวจจะมีวิจารณญาณแค่ไหน ผมไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองหรือ ICE จะพูดอย่างไร "คุณรู้ไหม คุณต้องไปและเราไม่ต้องการให้คุณอยู่ในประเทศของเรา" มันยากสำหรับผมที่จะคิดถึงเรื่องนั้น แต่ไม่ ผมพยายามที่จะไม่คิดถึงเรื่องนั้น ผมพยายามไม่รู้สึกหงุดหงิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น”

นอกจากให้คำมั่นจะเนรเทศผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายหลายล้านคน และขู่จะบุกเข้าตรวจค้นสถานประกอบการที่จ้างผู้อพยพผิดกฎหมาย รายงานบางฉบับยังระบุด้วยว่า ทรัมป์อาจยกเลิกนโยบายเก่าแก่ ที่ห้ามเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองฯ เข้าไปทำการจับกุมในโบสถ์และโรงเรียน

ผู้อพยพ รายการทันโลก DAILY
นโยบายเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ขณะเดียวกัน ยังต้องจับตา ร่างกฎหมาย เลเคน ไรลีย์ (Laken Riley) ซึ่งตั้งชื่อตามนักศึกษาพยาบาลหญิง ที่ถูกฆาตกรรมในรัฐจอร์เจียเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งผู้ก่อเหตุเป็นชายชาวเวเนซุเอลา ที่เพิ่งถูกจับในข้อหาลักขโมยร้านค้า โดยคาดว่าร่างกฎหมายนี้ จะผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรสภายในสัปดาห์นี้

เนื้อหาในร่างกฎหมายดังกล่าว กำหนดให้รัฐบาลกลางสามารถควบคุมตัวผู้อพยพที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย และตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีอาญา แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ถูกตั้งข้อกล่าวหาใดๆ ก็ตาม

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้อพยพและพรมแดน อาทิ นโยบาย "Remain in Mexico" ที่ทรัมป์เล็งจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง นโยบายนี้จะเป็นการผลักดันผู้ที่ข้ามแดนเข้ามาแล้ว และอยู่ระหว่างยื่นขอสถานะผู้ลี้ภัย ให้กลับไปรอการพิจารณาอยู่ในฝั่งเม็กซิโก โดยคาดว่า คนกลุ่มนี้มีอยู่ราว 70,000 คน

อีกหนึ่งนโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพที่ทรัมป์เคยประกาศจะทำตั้งแต่วันแรก คือ การยกเลิกการให้สัญชาติโดยกำเนิด แก่ใครก็ตามที่เกิดบนแผ่นดินสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ที่ใช้กันมานานกว่า 150 ปี

อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนั้นยุ่งยาก และมีขั้นตอนมากกว่าการลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพียงอย่างเดียว เนื่องจากสิทธิการเป็นพลเมืองโดยกำเนิด ได้รับการรับรองไว้อย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ดังนั้น การจะยกเลิกสิทธิดังกล่าวจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายที่ซับซ้อน

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายปิดพรมแดนจากเหตุผลด้านสาธารณสุข อ้างอิงจากกฎหมายมาตรา 42 ที่มีมาตั้งแต่ปี 1944 ซึ่งอนุญาตให้รัฐบาลสหรัฐฯ จำกัดการอพยพเข้าประเทศ เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน มาตรการนี้ใช้ครั้งสุดท้ายระหว่างการระบาดใหญ่ของโควิด-19 แต่สื่อสหรัฐฯ รายงานว่ารัฐบาลชุดใหม่กำลังมองหาโรคที่จะใช้สนับสนุนแผนการปิดพรมแดนทางใต้ของสหรัฐฯ ได้

ปิดท้ายด้วยอีกโครงการหลักที่ทรัมป์เคยริเริ่มไว้ ระหว่างการดำรงตำแหน่งสมัยแรก ทรัมป์เคยลงนามคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหารเพื่อสร้างกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโก แม้การก่อสร้างกำแพงบางส่วนจะเริ่มขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีหลายจุดที่ยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะกลับมาสานต่อสิ่งที่ตนเองเคยเริ่มไว้

ต้องรอติดตามกันต่อไปว่า มาตรการผู้อพยพของทรัมป์ จะเจออุปสรรคและแรงต้านมากน้อยแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีการฟ้องร้องทางกฎหมาย จากกลุ่มผู้คุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพของผู้อพยพ

Bottom-BDMS Bottom-BDMS

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

PPTVHD36

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ