วันที่ 22 ม.ค. 2568 ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติ แถลงว่า รัฐบาลไทยต้องยุติแผนการส่งตัวชาวอุยกูร์ 48 คนกลับไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยทันที และ เตือนว่าพวกเขามีความเสี่ยงอย่างแท้จริงที่จะถูกทรมานหรือถูกปฏิบัติหรือลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีหากถูกส่งกลับ
“การปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ในประเทศจีนนั้นมีการเก็บข้อมูลจนเป็นที่ประจักษ์” กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกล่าว
“เรากังวลว่าพวกเขามีความเสี่ยงที่จะถูกทำร้ายที่ไม่อาจเยียวยาได้ (irreparable harm) ซึ่งละเมิดข้อห้ามระหว่างประเทศของการผลักดันกลับ (refoulement) ไปเผชิญการทรมาน”
“หลักการห้ามผลักดันกลับ ห้ามมิให้มีการส่งตัวหรือเคลื่อนย้ายไม่ว่าโดยวิธีใดไปยังประเทศที่มีความเสี่ยงอย่างแท้จริงต่อการทรมาน หรือการปฏิบัติหรือลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี” กลุ่มผู้เชี่ยวชาญย้ำ
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ เรียกร้องให้ประเทศไทยจัดหาการดูแลทางการแพทย์ที่เพียงพอและครอบคลุมให้กับชาวอุยกูร์โดยเร็ว โดยชาวอุยกูร์ 48 คนนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มราว 350 คนที่ถูกจับกุมในประเทศไทยเมื่อปี 2557 หลังจากที่ข้ามชายแดนประเทศไทยโดยผ่านช่องทางไม่ปกติเพื่อแสวงหาการคุ้มครองในประเทศไทย มีการกล่าวว่าพวกเขาถูกคุมขังโดยไม่สามารถติดต่อผู้ใดได้เป็นระยะเวลามากกว่าทศวรรษ โดยไม่สามารถเข้าถึงทนาย สมาชิกครอบครัว หรือตัวแทนของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) และสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัย (UNHCR)
“เราเห็นว่าบุคคลเหล่านี้ไม่ควรถูกส่งกลับไปยังประเทศจีน พวกเขาควรได้รับการเข้าถึงกระบวนการลี้ภัย และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอื่นๆ เช่น การสนับสนุนทางการแพทย์และและจิตสังคมในประเทศไทย” กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกล่าว
“พวกเราได้รับข้อมูลว่า 23 จาก 48 คน มีปัญหาสุขภาพอย่างร้ายแรง ทั้ง เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง อัมพาตช่วงล่าง โรคผิวหนัง โรคทางเดินอาหารและลำไส้ และภาวะที่เกี่ยวกับหัวใจและปอด” กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกล่าว “เป็นเรื่องสำคัญอย่างมากที่พวกเขาจะได้รับการดูแลทางการแพทย์ที่จำเป็นและเหมาะสม”
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญยังได้ย้ำต่อทางการไทยว่า บุคคลที่ปราศจากอิสรภาพ ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมและเคารพศักดิ์ศรี ซึ่งผู้ถูกคุมขังที่ไม่มีความผิดทางอาญาต้องถูกคุมขังแยกออกต่างหาก อยู่ในสภาพที่สมกับสถานะ พวกเขาต้องสามารถเข้าถึงตัวแทนทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพและความช่วยเหลือทางการแพทย์ที่เพียงพอ อีกทั้งการทบทวนสภาวะการปราศจากอิสรภาพโดยศาลอย่างทันท่วงที การเยียวยาจากการละเมิดใดๆ และความเป็นไปได้ที่จะติดต่อกับทนายที่เขาเลือก ญาติ และการเข้าเยี่ยมโดยองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชน ได้ตลอดเวลา
มีรายงานว่ามีชาวอุยกูร์ 5 คนเสียชีวิตในสถานที่คุมขังในประเทศไทยตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา โดยสองคนจากจำนวนนี้เป็นเด็ก
“สภาพการคุมขังที่ไม่เหมาะสม รวมถึงการไม่สามาถเข้าถึงการดูแลทางการแพทย์ที่เพียงพอ สามารถทำให้มีการเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสในสถานที่คุมขังได้ การเสียชีวิตระหว่างถูกคุมขังก่อให้เกิดข้อสงสัยถึงการทำให้เสียชีวิตโดยอำเภอใจของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งจะสามารถโต้แย้งได้ด้วยการสอบสวนที่ถูกต้องตามมาตรฐานระหว่างประเทศเท่านั้น”
“เราเรียกร้องให้มีการสอบสวนที่มีประสิทธิภาพ ทันท่วงที และมีการประเมินสถานการณ์แวดล้อมของการจับกุมและสภาวะการถูกคุมขังอย่างต่อเนื่องของบุคคลกลุ่มนี้” กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกล่าว
“หากพบว่าพวกเขาถูกคุมขังโดยอำเภอใจ หรือในสภาพที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ พวกเขาควรได้รับการปล่อยตัวโดยเร็ว”
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ไทย ให้ผู้ต้องกักเข้าถึงตัวแทนทางกฎหมายและองค์กรยูเอ็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง พวกเขาได้ส่งหนังสือถึงรัฐบาลไทยและจะติดตามสถานการณ์ต่อไป