เมื่อวันที่ 18 มี.ค. รัฐสภาฮังการีผ่านกฎหมายต่อต้านกลุ่ม LGBTQ+ ฉบับใหม่ด้วยคะแนนเสียง 136 ต่อ 27 ซึ่งมีผลบังคับห้ามจัดงานไพรด์ (Pride) และอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ใช้ซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าเพื่อระบุตัวตนของผู้เข้าร่วมงานได้ ส่งผลให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่บนท้องถนนในบูดาเปสต์
ผู้ประท้วงหลายพันคนออกมารวมตัวกันหน้ารัฐสภาฮังการี พร้อมตะโกนต่อต้านรัฐบาล ต่อมาได้ปิดล้อมสะพานมาร์กาเร็ตข้ามแม่น้ำดานูบ ปิดกั้นการจราจร และเพิกเฉยต่อคำสั่งของตำรวจให้ออกจากพื้นที่
ความเคลื่อนไหวของสมาชิกรัฐสภาฮังการีเป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามชุมชน LGBTQ+ ของประเทศ นำโดยพรรคชาตินิยม-ประชานิยมของนายกรัฐมนตรี วิกเตอร์ ออร์บัน ซึ่งเป็นพันธมิตรคนสำคัญของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน และประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์
หลังผลการลงมติ สมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านยังได้นำการประท้วงอย่างดุเดือดในรัฐสภาโดยใช้ระเบิดควันสีรุ้ง
เยฟเกนี เบลยาคอฟ ชาวรัสเซียที่อพยพมาฮังการีหลังจากเผชิญกับการปราบปรามในรัสเซีย กล่าวว่า “พูดตามตรง มันน่ากลัวมาก เพราะเราก็เคยเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันในรัสเซีย มันค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นทีละขั้นตอน และผมรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่”
เขาเสริมว่า “ผมหวังเพียงว่าจะมีการต่อต้านแบบนี้อีกในฮังการี เพราะในรัสเซีย เราไม่ได้ต่อต้านอย่างทันท่วงที และทำให้ทุกอย่างสายเกินไป”
ร่างกฎหมายดังกล่าวจะจัดอยู่ในกฎหมายการชุมนุมของฮังการี โดยกำหนดให้การจัดหรือเข้าร่วมงานชุมนุมที่ละเมิดกฎหมาย “คุ้มครองเด็ก” ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งกฎหมายคุ้มครองเด็กมีข้อหนึ่งที่ระบุว่า “ห้ามส่งเสริมแนวคิดการรักร่วมเพศต่อผู้เยาว์ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี”
ภายใตใกฎหมายใหม่ การเข้าร่วมงานไพรด์จะมีโทษปรับสูงสุด 200,000 ฟอรินต์ฮังการี (ราว 18,500 บาท) และรัฐจะต้องส่งเรื่องดังกล่าวไปยังหน่วยงานคุ้มครองเด็ก ตามเนื้อหาของกฎหมาย รวมถึงเจ้าหน้าที่อาจใช้เครื่องมือจดจำใบหน้าเพื่อระบุตัวบุคคลที่เข้าร่วมงานต้องห้ามลักษณะนี้ด้วย
เรียบเรียงจาก CNN