ประธานาธิบดีำต้หวัน ไล่ ชิงเต๋อ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุและพอดแคสต์ของสหรัฐฯ แนวอนุรักษ์นิยม The Clay Travis and Buck Sexton Show ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 7 ต.ค. โดยอ้างถึงคำกล่าวของทรัมป์เมื่อเดือน ส.ค. ที่ระบุว่า สี จิ้นผิง บอกกับเขาว่า จะไม่รุกรานไต้หวันในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
ไล่กล่าวว่า เขาหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีทรัมป์อย่างต่อเนื่อง
โดยหากประธานาธิบดีทรัมป์สามารถโน้มน้าวให้ สี จิ้นผิง ยุติการรุกรานทางทหารต่อไต้หวันโดยถาวรได้ เขาย่อมสมควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพโดยไม่ต้องสงสัย
ทรัมป์เคยกล่าวว่า เขาควรได้รับรางวัลโนเบล เหมือนกับอดีตผู้นำสหรัฐฯ อีก 4 คน โดยรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปีนี้จะประกาศในวันที่ 10 ต.ค. นี้
สหรัฐฯ ถือเป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญที่สุดของไต้หวัน แม้จะไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ แต่ตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งสมัยที่ 2 เมื่อต้นปีนี้ เขาก็ยังไม่ได้ประกาศการขายอาวุธใหม่ให้ไต้หวันเลย
และเนื่องจากไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูต ประธานาธิบดีไต้หวันจึงไม่สามารถพบหรือพูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้โดยตรง
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่าหากได้พบทรัมป์จะพูดอะไร ไล่กล่าวว่า เขาจะแนะนำให้ทรัมป์จับตาดูการกระทำของสีอย่างใกล้ชิด
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากมีการเผยแพร่บทสัมภาษณ์ กระทรวงกลาโหมไต้หวันรายงานว่า พบการเคลื่อนไหวทางทหารของจีนเพิ่มขึ้นอีก โดยมีเครื่องบินรบและโดรน 23 ลำ ลาดตระเวนรบร่วมกับเรือรบของจีนรอบเกาะ
ไล่ระบุว่า จีนขยายกิจกรรมทางทหารออกไปไกลจากน่านน้ำของตนเองมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อไต้หวันเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ไต้หวันพยายามตอบสนองต่อข้อกังวลของสหรัฐฯ ที่ว่าไต้หวันยังจัดสรรงบด้านกลาโหมไม่มากพอ โดยไล่ได้ตั้งเป้าเพิ่มงบกลาโหมเป็น 5% ของจีดีพีภายในปี 2030
สหรัฐฯ มีพันธกรณีตามกฎหมายที่จะต้องจัดหาเครื่องมือในการป้องกันตนเองให้กับไต้หวัน ยังคงยึดนโยบาย “ความกำกวมเชิงยุทธศาสตร์” โดยไม่ระบุชัดว่าจะใช้กำลังตอบโต้หากจีนโจมตีหรือไม่
ที่ผ่านมา ไล่ปฏิเสธคำกล่าวอ้างอธิปไตยของจีน โดยระบุว่า มีเพียงชาวไต้หวันเท่านั้นที่มีสิทธิ์กำหนดอนาคตของตนเอง ขณะที่จีนเรียกไล่ว่าเป็น “พวกแบ่งแยกดินแดน” และปฏิเสธข้อเสนอเจรจาของเขาอย่างต่อเนื่อง