ก่อนจะไปถึงตรงนั้น มาทำความเข้าใจคำว่า “อำนาจอธิปไตย (Sovereign)” ก่อน อำนาจอธิปไตย หมายถึงความเป็นอำนาจสูงสุดของรัฐ (Autonomous of State) ที่จะทำกิจกรรมใดๆ ในทางเศรษฐกิจ สังคม และ การเมืองภายในประเทศไทย ซึ่งเป็นยอมรับกันโดยทั่วไปในทางกฎหมายระหว่างประเทศ
อัยการชี้รื้อบ้านกลางทะเลได้ แม้อยู่นอกราชอาณาจักร
บ.ผลิตบ้านลอยน้ำ ระงับโครงการบ้านกลางทะเล ชี้ 2 สามีภรรยา แค่ต้องการอิสระ
นอกจากนั้นยังมีคำว่า สิทธิอธิปไตย (Sovereign right) ซึ่งหมายถึง สิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของรัฐแต่ก็เป็นสิทธิสูงสุดที่ ครอบคลุมเป็นการเฉพาะเจาะจง เช่น สิทธิเหนือทรัพยากรแร่ธาตุ ความหลากหลายทางชีวภาพ พันธุกรรมที่สำคัญ “เป็นสิทธิที่เกิดขึ้นโดยผลของความตกลงร่วมกันของรัฐภาคีที่ใช้อำนาจอธิปไตย” และเพื่อรับรองให้แก่รัฐที่มีอำนาจอธิปไตยเข้าไปบริหารจัดการให้อยู่ภายใต้เขตอำนาจแห่งรัฐ (National Jurisdiction)
พบอู่ต่อเรือสร้างบ้านกลางทะเล อ้างรับทำแค่ไฟเบอร์กลาส ปัดรู้เห็นด้วย
ทร.เผย "ที่พักลอยน้ำ" กลางทะเลยึดด้วยเชือก 3 เส้น
ต่อมาจึงเป็นเรื่องของเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศ มี 2 ประเภท คือ เส้นแบ่งเขตแดนบนบกหรือบนพื้นแผ่นดิน กับ เส้นแบ่งเขตแดนทางทะเล
เส้นแบ่งเขตแดนบนบก หรือบนพื้นแผ่นดิน (Land Boundary Line) จะใช้ลักษณะภูมิประเทศ หรือสภาพธรรมชาติ ที่สังเกตได้ชัดเจน และถือเป็นสิ่งกีดขวางตามธรรมชาติ เช่น ภูเขาหรือทิวเขา แม่น้ำ นอกจากนี้ ทะเลสาบ อ่าว ช่องแคบ ทะเลทราย หนอง และบึง ไปจนถึงป่าไม้ มีหลักเกณฑ์ตามที่นิยมกันตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น ถ้าเป็นทะเลสาบ ให้ถือเส้นกึ่งกลาง เป็นเส้นแบ่งเขตแดน ส่วนช่องแคบก็ถือหลักเกณฑ์เดียวกับแม่น้ำ สำหรับอ่าว ให้พิจารณาจากขนาดความกว้าง ของปากอ่าว คือ ถ้าความกว้างของปากอ่าวไม่เกิน 6 ไมล์ทะเล ให้อยู่ในอำนาจอธิปไตยของรัฐเจ้าของอ่าว
ส่วนอ่าวที่มีความกว้างมากกว่า 6 ไมล์ทะเล จะขึ้นอยู่กับความตกลงระหว่างกัน เว้นแต่จะถือได้ว่า เป็นอ่าวประวัติศาสตร์ที่อยู่ในความครอบครองของรัฐหนึ่งรัฐใดมาเป็นเวลาช้านาน ก็ให้ถือเป็นดินแดนส่วนหนึ่งภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐนั้น
"สะดือทะเล" ความสวยงามสุดพิศวงแห่งท้องทะเล
อธิบายชัดๆ อย่าง “อ่าวไทย” เฉพาะส่วนของอ่าวไทยตอนบน เป็นน่านน้ำเหนือเส้นที่ลากเชื่อมต่อระหว่าง “บ้านแสมสารในตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี กับบ้านห้วยทรายเหนือ ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์” เรียกกันว่า อ่าวรูปตัว "ก" ถือเป็นอ่าวประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันเป็นสากล
ต่อมาเป็น เส้นแบ่งเขตแดนทางทะเล (Maritime Boundary Line) ตามหลักนิยมแล้วใช้วิธีการทางเรขาคณิต อาศัยละติจูดและลองจิจูดเป็นหลักสำคัญ เพราะในทะเลเป็นพื้นที่ที่ไม่มีลักษณะทางธรรมชาติที่สังเกตได้ชัดเจน แต่นับว่ามีความสำคัญเพราะทะเลเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต และมีความสำคัญต่อรัฐหรือประเทศชายฝั่งในด้านการเดินเรือ ด้านความมั่นคง และด้านการค้นคว้าการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
สำหรับ ประเทศไทยมีอาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) ตาม อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 เท่ากับ 323,488.32 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นประมาณร้อยละ 60 ของอาณาเขตทางบกที่มีเนื้อที่อยู่ประมาณ 513,115 ตารางกิโลเมตร
โดยมีความยาวชายฝั่งทะเล ทั้งฝั่งอ่าวไทย และฝั่งอันดามัน รวมถึงช่องแคบมะละกาตอนเหนือ รวมความยาวชายฝั่งทะเลในประเทศไทยทั้งสิ้น 3,148.23 กิโลเมตร ครอบคลุม 23 จังหวัด ซึ่งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฏหมายทะเล ค.ศ. 1982 ยังกำหนดเขตน่านน้ำทางทะเลออกเป็น 6 เขต คือ
"น่านน้ำภายใน" น่านน้ำทางด้านเส้นฐาน (baselines) เช่น อ่าว แม่น้ำ ปากแม่น้ำ ทะเลสาบ เป็นต้น ซึ่งประเทศไทย มีอำนาจอธิปไตย (sovereignty) เหนือน่านน้ำภายในและอ่าวไทยก็อยู่ในส่วนนี้ด้วย
"หากเรือต่างชาติหรืออากาศยานต่างชาติจะผ่านเข้ามาในเขตน่านน้ำภายในของรัฐชายฝั่ง จะต้องขออนุญาตรัฐชายฝั่งก่อน"
นอกจากนี้ น่านน้ำภายใน ยังมี พื้นที่บริเวณ “แหลมลิง ถึง หลักเขตแดนไทย-กัมพูชา”
พื้นที่บริเวณตั้งแต่ “แหลมใหญ่ ถึง แหลมหน้าถ้ำ”
พื้นที่บริเวณตั้งแต่ “เกาะภูเก็ต ถึง พรมแดนไทย-มาเลเซีย เชื่อมเส้นฐานตรงและน่านน้ำภายในของประเทศไทย"
พื้นที่บริเวณตั้งแต่ “เกาะกง ถึง พรมแดนไทย-มาเลเซีย”
ทะเลอาณาเขต (Territorial Waters)
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 กำหนดความกว้างของทะเลอาณาเขตว่า “ต้องไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล” วัดจากเส้นฐาน (baselines) ซึ่งรัฐชายฝั่งเป็นผู้กำหนด ตามหลักเกณฑ์แห่งกฎหมายระหว่างประเทศ และ “รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตยรวมไปถึงห้วงอากาศ (air space) พื้นดินท้องทะเล (sea-bed) และดินใต้ผิวดิน (subsoil) แห่งทะเลอาณาเขตด้วย”
แต่เรือต่างชาติสามารถเดินเรือได้ เรียกว่า การใช้สิทธิการผ่านโดยสุจริต” (right of innocent passage) คือ ต้องไม่เสื่อมเสียต่อสันติภาพ ความสงบเรียบร้อย หรือความมั่นคงต่อไทย
เขตต่อเนื่อง (Contiguous Zone)
ต้องไม่เกินกว่า 24 ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน ใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต โดยไทยสามารถบังคับใช้กฎหมายควบคุมป้องกัน การฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งเรื่องหนีภาษีศุลกากร การคลัง การลักลอบเข้าเมือง การสุขาภิบาล ภายในอาณาเขต รวมถึงคุ้มครองวัตถุโบราณ หรือวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่พบใต้ทะเลด้วย
เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zones)
เป็นบริเวณเลยจากทะเลอาณาเขต แต่ไปเกิน 200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน ที่ใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต จุดนี้ไทยมีอำนาจสำรวจ น้ำมัน ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อแสวงประโยชน์ อนุรักษ์ หรือ จัดการได้ ทั้งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ทั้งในน้ำ เหนือพื้นดินท้องทะเล ในพื้นดินท้องทะเล ไปจนถึงใต้ผิวดินของพื้นดินท้องทะเลนั้น
และมีสิทธิอธิปไตยสำรวจทางเศรษฐกิจในเขต เช่น การผลิตพลังงานจากน้ำ (water) กระแสน้ำ (currents) และลม (winds) โดยมีสิทธิแต่ผู้เดียว (exclusive rights) ในการสร้างหรืออนุญาตให้สร้าง ควบคุมการสร้างเกาะเทียม (artificial islands) สิ่งติดตั้ง (installations) และสิ่งก่อสร้าง (structures) เพื่อทำการสำรวจ และแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีชีวิตในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ หรือควบคุมการใช้สิ่งติดตั้งหรือสิ่งก่อสร้างอันอาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้สิทธิของรัฐชายฝั่งในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ
อย่างไรก็ตาม รัฐอื่นๆ ย่อมมีเสรีภาพในการเดินเรือ บินผ่าน วางสายเคเบิลและท่อใต้ทะเล
ไหล่ทวีป (Continental Shelf)
คือ พื้นดินท้องทะเล (sea bed) และดินผิวใต้ดิน (subsoil) ของบริเวณใต้ทะเล ซึ่งขยายเลยทะเลอาณาเขตของรัฐตลอดส่วนต่อออกไปตามธรรมชาติ (natural prolongation) ของดินแดนทางบกของตน จนถึงริมนอกของขอบทวีป (continental margin) มีระยะทางไม่เกิน 350 ไมล์ทะเล จากเส้นฐาน (baseline) หรือ เลยออกไปไม่เกิน 100 ไมล์ทะเล จากเส้นชันความลึก (contouring) 2,500 เมตร
รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตย (sovereign rights) เหนือทรัพยากรธรมรมชาติบนและใต้ไหล่ทวีป ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
ทะเลหลวง (High Seas)
พื้นที่ห่างจากฝั่งมากกว่า 200 ไมล์ทะเล ซึ่งเป็นทุกส่วนของทะเลแต่ไม่ได้รวมอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (exclusive economic zone) ในทะเลอาณาเขต (territotial sea) หรือในน่านน้ำภายใน (internal water) ของรัฐ หรือในน่านน้ำหมู่เกาะ (archipelagic waters) ของรัฐหมู่เกาะ เป็นที่น่าสังเกตว่าห้วงน้ำ (water column) และผิวน้ำเหนือไหล่ทวีปที่อยู่นอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะยังคงเป็นเขตทะเลหลวง ถึงแม้ไหล่ทวีปและทรัพยากรบนไหล่ทวีปจะตกอยู่ภายใต้สิทธิอธิปไตย (sovereign rights) ของรัฐชายฝั่งก็ตาม
นอกจากนี้ ทะเลหลวงเปิดให้แก่รัฐทั้งปวง ไม่ว่ารัฐชายฝั่ง (coastal state) หรือรัฐไร้ฝั่งทะเล (landlocked states) โดยมีเสรีภาพแห่งทะเลหลวงใช้ได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้โดยอนุสัญญาฯ และหลักเกณฑ์อื่นๆ ของกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น เสรีภาพในการเดินเรือ (freedom of navigation) เสรีภาพในการบินผ่าน (freedom of overflight) เสรีภาพในการทำประมง (freedom of fishing) โดยหน้าที่ประการสำคัญของรัฐต่างๆที่ทำการประมงในทะเลหลวงคือ ต้องร่วมมือกันเพื่อกำหนดมาตรการในการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรที่มีชีวิตในท้องทะเล
บริเวณพื้นที่ (The area)
หมายถึง พื้นทะเลก้นทะเล (seabed) และพื้นผิวดิน (subsoil) ซึ่งอยู่นอกเหนือเขตอำนาจของประเทศทรัพยากรในบริเวณดังกล่าวเป็นมรดกร่วมของมนุษยชาติ
สำหรับกรณีสิ่งปลูกสร้างกลางทะเล ใกล้กับจังหวัดภูเก็ต แม้จะอยู่นอกอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย แต่เพราะพฤติการณ์ของกลุ่มเจ้าของสิ่งปลูกสร้าง มีลักษณะที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ซึ่งตามกฎหมาย อัยการจังหวัดภูเก็ต ยืนยันว่า ผู้ดำเนินการจะต้องรับโทษตามกฎหมายไทย แม้ว่าจะอยู่ห่างจากฝั่ง 14 ไมล์ทะเล
โดยเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา เพิ่งประกาศบังคับใช้พระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภารกิจสำคัญของกฎหมายนี้ คือ เพื่อรักษาอธิปไตย และความั่นคงของชาติ ซึ่งสอดคล้องกับ มาตรา7ของประมวลกฎหมายอาญา ที่ระบุว่า เรื่องที่เกิดนอกราชอาณาจักร หากเป็นประเด็นนี้มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษในราชอาณาจักร
ที่มาข้อมูล : สถาบันวิจัยทรัพยากรน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย/สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน