กว่า 6 ชั่วโมงในการพิจารณารวมถึงการอ่านคำพิพากษา ของศาลฎีกา ในคดีการล้มประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน เมื่อปี 2552 ซึ่งที่สุดแล้วศาลฎีกาพิพากษาจำคุกนายสำเริง ประจำเรือ และนายวรชัย เหมะ เป็นเวลา 4 ปี เนื่องจากศาลฯ มองว่าการกลับคำรับสารภาพใหม่ในชั้นฎีกา ฟังไม่ขึ้น ศาลฯ จึงยกคำร้องและยืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
“ไวพจน์” หลุด ส.ส. หลัง ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก คดีล้มประชุมอาเซียน
ส่วน พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ จำเลยที่ 3 ให้เหตุผลว่าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ระหว่างการประชุมพรรค ศาลฎีกามีคำสั่งว่า แม้จำเลยที่ 3 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่คดีนี้เสร็จการพิจารณาแล้ว ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 125 จึงให้มาฟังคำพิพากษาในวันที่ 15 ม.ค.ปี 2563 เวลา 09.00 น. และให้ออกหมายจับจำเลยที่ 3
นายณัฐพล ปัญญาสูง ทนายความของแกนนำ นปช. เปิดเผยว่า ในกรณีของนายสำเริงและนายวรชัยเป็นการกลับคำสารภาพในชั้นฎีกาซึ่งไม่สามารถกระทำได้ จึงยกคำร้อง ส่วนกรณีของพ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ จำเลยที่ 3 ศาลก็ให้มาฟังคำพิพากษา ในวันที่ 15 ม.ค.ปี 2563 เวลา 09.00 น. และให้ออกหมายจับจำเลยที่ 3
คดีนี้เป็นการพิพากษาครั้งที่ 2 ในคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา เป็นโจทก์ร่วมฟ้องในความผิดความมั่นคงของรัฐ ก่อการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง เป็นความผิดที่เกิดจากการบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ครั้งที่ 14 ระหว่างวันที่ 9-12 เม.ย. ปี 2552 จัดขึ้นที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท เมืองพัทยา จ.ชลบุรี
ศาลฎีกานัดพิพากษาคดี “อริสมันต์” ล้มประชุมสุดยอดอาเซียน