
ม.หอการค้าไทย เผยผลวิจัย ปชช.เกินครึ่งเครียดเสี่ยงตกงาน ช่วง โควิด -19
เผยแพร่
คณะนิเทศศาสตร์ ม.หอการค้าไทย และวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี ร่วมกับ เครือข่ายการวิจัยประชามติแห่งเอเชีย สำรวจพฤติกรรม “การเปิดรับข่าวสารและการรู้เท่าทันสื่อ ความรู้ และการปฏิบัติตนในการป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ของประชาชนไทย” ระหว่างวันที่ 17 – 27 เม.ย. 2563 ต่อสถานการณ์การระบาดครั้งนี้ ทั้งหมด 3,277 คน ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย
เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2563 รศ.ดร.จันทิมา เขียวแก้ว ประธานเครือข่ายการวิจัยประชามติแห่งเอเชีย และที่ปรึกษาหลักสูตร ป.เอก สาขาวิชานิเทศศาสตร์การตลาด มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากผลการสํารวจประชาชนทั้งหมด 3,277 คน ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนเปิดรับข้อมูลข่าวสาร โควิด - 19 จากเฟซบุ๊กมากที่สุด ร้อยละ19.6 รองลงมาวิทยุโทรทัศน์ ร้อยละ 17.6 แอปพลิเคชัน ไลน์ ร้อยละ14.1 น้อยที่สุด คือ หนังสือพิมพ์ ร้อยละ 2.9
โควิด-19 กระทบแรงงาน 1.6 พันล้านคนทั่วโลก
โดยยังพบว่ากลุ่มข้าราชการและผู้ที่ได้รับเงินเดือนประจํา มีความเครียดแต่สามารถปรับตัวได้ร้อยละ 43.5 ในขณะที่กลุ่มรับจ้างและผู้ที่ไม่มีรายได้ประจําที่มีผลกระทบโดยตรงต่อความเครียด ร้อยละ 56.5 แบ่งออกเป็นกลุ่มที่ตกงานทันทีร้อยละ 17.4 รองลงมารายได้ลดลง 25 เปอร์เซนต์ ร้อยละ 14.6และรายได้ลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นร้อยละ 14.3 และกลุ่มที่รายได้ลดลง 75 เปอร์เซนต์ คิดเป็นร้อยละ 10.2
ทั้งนี้ความกังวลจากผลกระทบการระบาดต่อการทํางานและอาชีพ พบว่า ร้อยละ 45.7 ประชาชนเชื่อมั่นว่า การทํางานที่บ้าน การเรียนหนังสือออนไลน์ ช่วยแก้ปัญหาการแพร่กระจายของโรคได้ มีเพียงกลุ่มตัวอย่างร้อย ละ 8.0 ที่มีความเครียดต่อผลกระทบของการระบาดในครั้งนี้ เพราะมีผลต่อการทํางานอย่างมาก โดยร้อยละ 13.0 ระบุว่ามีผลกระทบต่องาน โดยร้อยละ 6.5 คิดว่าการขยายเวลาล็อกดาวน์ไปอีก 1 เดือน จะทําให้สถาน ประกอบการที่ตนทํางานอยู่จะต้องปิดกิจการทันทีและตกงาน และร้อยละ 6.5 เท่ากัน เกรงว่าที่ทํางานอาจจะ ปิดกิจการและตนถูกลดเงินเดือน นอกจากนี้ประชาชนมีความกังวลต่อทักษะความสามารถการทํางาน พบว่า ร้อยละ 21.7 มองว่าจะทําให้ทักษะความเชี่ยวชาญการทํางานลดลง เนื่องจากห่างหายจากการใช้เครื่องมือ และความสมํ่าเสมอในอุปกรณ์
Work from Home อย่างไรไม่ให้เครียด
คนตกงานแห่พึ่งวัดสวนแก้ว หลังประกาศช่วยเหลือ "ทำงานแลกเงิน"
ดร.ทัศนีย์ เกริกกุลธร ผู้ช่วยอธิการบดี สถาบันบรมราชชนกและผู้อํานวยการวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดสระบุรี กล่าวว่า การสํารวจครั้งนี้เป็นความร่วมมือของนักวิชาการจาก 3 สถาบัน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์มี ผู้ตอบแบบสํารวจจํานวน 3,277 คน จากทุกจังหวัด ผลวิจัยชี้ว่าการระบาดของไวรัส โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อความกังวลและความเครียด ผลการสํารวจชี้ว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่สามารถปรับตัวและทําใจได้พบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 46.2 สามารถจัดการกับความเครียดและปรับตัวกับ สถานะการณ์ครั้งนี้ได้ รองลงมาร้อยละ 13.6 ไม่เครียดไม่กังวลใจเพราะมองว่าจะได้มีเวลาสงบจิตใจมากขึ้น และร้อยละ 12.4 ยังมีความสุขจากการใช้ชีวิตประจําวัน ในสถานการณ์การแพร่ระบาดเพราะสามารถบริหาร เวลาที่มีอยู่กับครอบครัว มีเวลาทําในสิ่งที่สนใจมากขึ้น
นอกจากนี้ยังพบว่าการบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของ โควิด-19 ในอีก 3 เดือนข้างหน้าหรือภายหลังเดือนกรกฏาคม 2563 พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 54.7 คิดว่าภาครัฐสามารถควบคุมได้ดีขึ้น รองลงมาร้อยละ 25.7 คิดว่าควบคุมได้ดีมากจนเป็นที่น่าพอใจ และมีเพียงร้อยละ 1.6 มองว่าควบคุมไม่ได้หรือสถานการณ์แย่ลงไปกว่าเดิม
ขณะที่หัวหน้าการทำโครงการวิจัยครั้งนี้มีความเห็นว่าหากรัฐบาลใช้มาตรการ Partial Lockdown ผ่อนปรนมาตรการบังคับบางประการ น่าจะช่วยให้ประชาชนมีระดับความเครียดน้อยลงเรื่องของการตกงานและรายได้ แต่อย่างไรก็ตามมาตรการผ่อนคลายจากการล็อคดาวน์อาจจะยังไม่ครอบคลุมในอีกหลากหลายอาชีพ เพื่อลดความเครียดและสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน การผ่อนปรนกลุ่มอาชีพดังต่อไปนี้ เช่น กลุ่มอาชีพธุรกิจร้านอาหารและการบริการในห้างสรรพสินค้า กลุ่มงานบริการรับจ้าง กลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรม เป็นต้น ต้องพิจารณาปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้อง เพื่อรักษามาตรการควบการการแพร่ระบาดให้อยู่ในการควบคุมได้ดีอย่างต่อเนื่องต่อไป
แนะ 10 วิธีคลายเครียด สำหรับ “แรงงาน”
ลดเครียด.. ลดความเสี่ยงสู่ "ไมเกรน"
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร Add friend ได้ที่ @PPTVOnline