จีนทำลายโอกาสเป็นผู้นำโลกในการรับมือโควิด-19 ของตนเอง
เผยแพร่
ปรับปรุงล่าสุด
บทวิเคราะห์ แนวทางการแสดงออกของจีนในช่วงโควิด-19 ทำให้อำนาจของจีนสั่นคลอน

ในช่วงกลางเดือนเมษายน 2563 จีนเปิดฉากการต่อสู้ที่ไร้จุดหมาย หลังตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ของฝรั่งเศสพุ่งสูงในช่วงเวลาดังกล่าว จนเศรษฐกิจหยุดชะงัก ในขณะที่จีนน่าจะสามารถให้การสนับสนุนฝรั่งเศสได้ จีนกลับโยนระเบิดคำพูดใส่ฝรั่งเศสแทน
อัปเดตข่าว สถานการณ์ โควิด-19 ทั่วโลก ล่าสุด 9 มิ.ย. 63
อัปเดตข่าวสถานการณ์ โควิด-19 (COVID-19) ล่าสุด 9 มิ.ย. 63
รัฐบาลปักกิ่งได้แสดงความไม่พอใจต่อคำพูดของเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสที่ว่า การระบาดของโควิด-19 เกิดจากความผิดพลาดของจีน สถานทูตของจีนจึงตอบโต้ด้วยการโพสต์ข้อความบนเว็บไซต์ของตนที่ว่า ฝรั่งเศสได้ละทิ้งผู้คนในบ้านพักคนชราให้ตายจากความหิวโหยและโรคภัยไข้เจ็บ
รัฐบาลปักกิ่งยังเตือนฝรั่งเศสว่า หากยังไม่ยกเลิกสัญญาส่งมอบอาวุธให้กับไต้หวัน ซึ่งจีนถือว่าเป็นผู้ทรยศ อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพนธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฝรั่งเศส และการทะเลาะวิวาทที่รัฐบาลปักกิ่งทำซ้ำกับประเทศอื่น ๆ นั้นน่าพิศวงอย่างยิ่ง เมื่อไวรัสโควิด-19 ออกมาจากอู่ฮั่น และแพร่กระจายไปทั่วโลก จีนมีโอกาสที่จะแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และพิสูจน์ว่าการเป็นผู้นำในยุคโลกาภิวัตน์นั้นเป็นมากกว่าเพียงแค่คำพูดลอย ๆ พิสูจน์ว่าจีนรับมือกับโควิด-19 เป็นเวลาหลายเดือนได้ดี พร้อมสรรพทั้งบุคลากร อุปกรณ์ และความเชี่ยวชาญ
ประกอบกับในช่วงต้น สหรัฐอเมริกาไม่ได้มีมาดความเป็นผู้นำในภาวะวิกฤตระดับโลกนี้เลย ตัว โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้วิพากษ์วิจารณ์ประเทศในยุโรปเกี่ยวกับการปิดชายแดนของพวกเขาเมื่อไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด จีนน่าจะก้าวขึ้นนำสหรัฐฯ ได้ในช่วงต้นของการระบาดด้วยการจัดการที่ดี เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส และมอบความช่วยเหลือและการสนับสนุนให้กับชาติอื่น ๆ
ด้วยวิธีดังกล่าว ปักกิ่งอาจคลี่คลายข้อสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัสโควิด-19 แต่ทั้ง 2 ประเทศกลับดำเนินการตอบโต้กันแบบแปลก ๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อเอาใจคนในประเทศและผลักความเกลียดชังไปยังบุคคลนอกเท่านั้น
นอกจากนี้ ในช่วงแรกของวิกฤตโควิด-19 รัฐบาลปักกิ่งประกาศว่าจะส่งเครื่องมือ และทีมแพทย์ไปช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ เช่น อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส เซอร์เบีย เอสโตเนีย กรีซ บัลแกเรีย สโลวีเนีย แต่อุปกรณ์บางอย่างกลับมีข้อบกพร่อง หรือปรากฏว่ามีใบแจ้งหนี้ตามมาเสียอย่างนั้น
ส่วนกระแสด้านบวกของจีนที่ออกมา เช่น สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ผู้นำรัฐบาลปักกิ่ง พูดผ่านวิดีโอเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ที่สำนักงานใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) กรุงเจนีวา ว่า จีนจะทำให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นของที่สาธารณะทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้ และมอบเงิน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.2 หมื่นล้านบาท) เป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อสนับสนุนการต่อสู้กับโรคระบาดโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา
จีน พร้อมดัน วัคซีนโควิด-19 เข้าถึงทุกคนในราคาไม่แพง
กระนั้นความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจจะสายเกินไป เมื่อประเด็นที่ WHO แสดงออกว่าเข้าข้างจีนมากกว่าชาติอื่น จนถูกมองว่า WHO รับใช้จีน ทำให้ความขัดแย้งระหว่าง สี จิ้นผิง กับ ทรัมป์ ขยายกว้างขึ้น จนประธานาธิบดีสหรัฐฯ คิดตอบโต้ด้วยการถอนทุนสนับสนุนให้ WHO และลาออกจากการเป็นประเทศสมาชิก
ด้านเจ้าหน้าที่ของทางการจีนแย้งว่า จีนมีพฤติกรรมสนับสนุนประเทศอื่นตามอำนาจที่เพิ่มขึ้น จึงมีการแสดงความรับผิดชอบมากในวิกฤตโควิด-19
โรรี เมดคาล์ฟ (Rory Medcalf) ศาสตราจารย์และหัวหน้าวิทยาลัยความมั่นคงแห่งชาติ มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย กล่าวว่า จีนภายใต้ สี จิ้นผิง มีความอ่อนไหวต่อสิ่งที่โลกคิดเห็นน้อยลง “จีนลงทุนไปมากในการโฆษณาชวนเชื่อ และออกแคมเปญต่าง ๆ เพื่อโน้มน้าวใจคนจีนว่า รัฐบาลปักกิ่งเป็นที่เคารพนับถือในต่างประเทศ แทนที่จะสร้างความเคารพจากทั้งโลกอย่างแท้จริง”
จูเฟิง (Zhu Feng) ผู้อำนวยการสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยหนานจิง กล่าวว่า นักการทูตของจีนบางคนทำให้การโต้เถียงที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 รุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากพวกเขาต้องการเอาใจรัฐบาลปักกิ่ง
“ความล้มเหลวในการพูดถึงโควิด-19 ของจีนนั้นส่วนใหญ่เกิดจากระบบการเมืองของประเทศจีนที่ผู้นำระดับท้องถิ่นต่าง ๆ ต้องการประจบผู้นำระดับสูง แทนที่จะรายงานสถานการณ์จริง ในขณะที่ทุกประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤต จีนควรถ่อมตัวแทนที่จะมีความคิดว่า “คุณควรขอบคุณจีน” และมองว่าเป็นโอกาสที่จะขยายอิทธิพลทั่วโลก กล่าวโดยสรุปการทูตของจีนในช่วงโควิด-19 นั้นทำได้ไม่ดีเลย” จูเฟิงกล่าว
วิลเลียม ไรน์ช (William Reinsch) ประธานภาคธุรกิจระหว่างประเทศ ศูนย์การศึกษาระดับนานาชาติเชิงกลยุทธ์ (CSIS) กล่าวว่า จีนและสหรัฐอเมริกากำลังประมาทซึ่งกันและกัน “ชาวจีนมองว่าตนเองเป็นมหาอำนาจที่อำนาจกำลังเพิ่มขึ้น และมองว่าสหรัฐฯ มีอำนาจที่ลดลง นโยบายของ สี จิ้นผิง ก็คือการผลักดันสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นข้อได้เปรียบที่เพิ่มขึ้น โดยเผชิญหน้ากับสหรัฐอเมริกาในทางอ้อมมากกว่าโดยตรง”
เขาเสริมว่า “ส่วนสหรัฐฯ เห็นว่าสถานะของตนแข็งแกร่งและมีจริยธรรมมากกว่าจีน และเชื่อว่าระบบของจีนนั้นมีจุดอ่อนที่ทำให้เขาอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่ง นั่นเป็นความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้นำระดับสูงทั้ง 2 ด้าน”
อย่างไรก็ตาม ขณะที่มหาอำนาจทั้ง 2 ขั้วกำลังตึงเครียดกันอยู่นั้น ก็มีสัญญาณเบื้องต้นที่ชัดเจนว่ากลุ่มประเทศที่มีอำนาจขนาดกลางบางแห่งกำลังเห็นช่องว่างทางอำนาจของกลุ่มประเทศใหญ่ เช่น ประเทศออสเตรเลีย กำลังหาวิธีลดการพึ่งพาการค้าของจีนอย่างมีความสุข เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลปักกิ่งได้กลั่นแกล้งและสร้างความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจในแคนเบอร์รา
เมดคาล์ฟกล่าวว่า “จีนมีปัญหาสะสมในบ้าน ทั้งประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น หนี้เพิ่มขึ้น ความไม่พอใจเพิ่มขึ้น และความเครียดจากสภาพแวดล้อมก็เพิ่มขึ้น จีนไม่สามารถควบคุมและข่มขู่หลาย ๆ ประเทศพร้อมกันได้อีกแล้ว เพราะที่รอบนอกที่โกรธแค้นจีนก็มีอยู่มาก ทั้งซินเจียง ทิเบต ฮ่องกง และไต้หวัน วิกฤตโควิด-19 กำลังเร่งให้เกิดการบ่อนทำลายอำนาจของจีน”
ญี่ปุ่นยืนยันไม่ประณามจีนตามชาติตะวันตก
จีนเผยถ่ายภาพแพนด้าป่าในอุทยานฯ ได้บ่อยขึ้น
เรียบเรียงจาก Bloomberg
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร Add friend ได้ที่ @PPTVOnline
ติดตามข่าววันนี้ได้ที่นี่ >> www.pptvhd36.com/tags/ข่าววันนี้