นพ.ศิริศักดิ์ ธิติดิลกรัตน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา เปิดเผยว่า จากข้อมูลของงานเวชสถิติ พบว่า ผู้ป่วยไบโพลาร์มาใช้บริการมากขึ้นทุกปี โดยในปีล่าสุด ปี 2558 มีผู้ป่วยนอกเข้ามารักษามากถึง 9,172 ราย มากกว่า ปี 2557 ที่มี 9,051 ราย และปี 2556 ที่มี 8,797 ราย ทั้งนี้ ผู้ป่วยไบโพลาร์จะมีอารมณ์แปรปรวน ที่ผิดปกติแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เช่น อารมณ์เศร้าหรืออารมณ์รื่นเริงสนุกสนานผิดปกติ
โดยในช่วงระยะอารมณ์ซึมเศร้า(Depression) ผู้ป่วยจะมีอารมณ์เศร้า หดหู่ ร้องไห้ง่าย เบื่ออาหาร เชื่องช้า ลังเล ตัดสินใจไม่แน่นอน ไม่มั่นใจตัวเอง คิดช้า ไม่มีสมาธิ รู้สึกว่าชีวิตตนเองไม่มีคุณค่า และมีความคิดฆ่าตัวตาย ส่วนในช่วงที่มีอารมณ์รื่นเริงสนุกสนานผิดปกติ (Mania) ผู้ป่วยจะรู้สึกมีความสุขมาก อารมณ์ดี คึกคัก มีกำลังวังชา ขยันกว่าปกติแต่ทำได้ไม่ดี นอนน้อยลง พูดคุยทักทายผู้อื่น แม้แต่กับคนแปลกหน้า พูดมาก พูดเร็ว กิจกรรมทางเพศเพิ่มขึ้น ใช้จ่ายเปลือง เชื่อมั่นตนเองมาก ขาดความยับยั้งชั่งใจ หากถูกห้ามปรามหรือขัดขวางในสิ่งที่ต้องการจะหงุดหงิดฉุนเฉียว
โรคนี้มีสาเหตุและปัจจัยที่เกี่ยวข้องร่วมกันหลายประการ เช่น ความผิดปกติของสารเคมีในสมองและพันธุกรรม นอกจากนี้ยังพบว่าปัจจัยที่กระตุ้นที่ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้ คือความเครียดจากเหตุการณ์ในชีวิตและสิ่งแวดล้อม การสอบตก การเปลี่ยนงาน หรือเปลี่ยนแปลงที่อยู่ ปัญหาด้านการเงิน การเจ็บป่วย การสูญเสียหรือเกิดความล้มเหลวในชีวิต รวมทั้งการอดนอนบ่อยๆ เพราะทำให้ผู้ป่วยบางราย ไม่สามารถประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนเองได้ สูญเสียคุณภาพชีวิตและค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา
สำหรับการดูแลรักษานั้นมีหลายรูปแบบ โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ตามลักษณะอาการของโรค คือ ระยะเฉียบพลัน (Acute Phase) และระยะยาว (Maintenance Phase) โดยในระยะเฉียบพลันจะแบ่งย่อยออกเป็น ภาวะเมเนีย รักษาโดยการใช้ยาเพื่อช่วยลดความรุนแรง ทั้งยาที่ทำให้อารมณ์คงที่ร่วมกับยาต้านโรคจิต หรือยากันชักร่วมกับยาต้านโรคจิต และภาวะซึมเศร้า นอกจากจะใช้ยาเหมือนกับภาวะเมเนียแล้ว จะมีการใช้ยาต้านเศร้าร่วมด้วย ส่วนการรักษาด้วยกระแสไฟฟ้า จะใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตมาก หรือมีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรง จนมีโอกาสฆ่าตัวตายเท่านั้น
ขณะที่การรักษาในระยะยาว จะทำโดยการลดความถี่ของการเกิดระยะเฉียบพลัน เพิ่มความสามารถของผู้ป่วยในการดำเนินชีวิต ป้องกันการกลับเป็นซ้ำ ลดความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย โดยการส่งเสริมให้ผู้ป่วยร่วมมือในการรักษา โดยเฉพาะการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับการทำจิตสังคมบำบัด ที่มีความสำคัญอย่างมากในการทำให้ผู้ป่วยร่วมมือ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการกลับเป็นซ้ำ ส่วนการที่แพทย์จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาลหรือไม่นั้น จะทำต่อเมื่อผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ก้าวร้าว และมีอาการทางจิต จนรบกวนคนในครอบครัว และญาติไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมได้