เป็นที่ฮือฮาเมื่อกระทรวงสาธารณสุขจัดแถลงข่าววานนี้ (30 มี.ค.58) โดย ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวถึงการคาดการณ์ตัวเลขคนไทยมีปัญหาสุขภาพจิตสูงถึง 10 ล้านคน ขณะที่ในจำนวนนี้มีโรค "ไบโพลาร์" ที่มีการคาดการณ์ไว้เช่นเดียวกันว่าขณะนี้อาจมีคนเป็นโรคนี้สูงถึง 1 ล้านคนแล้ว และยังถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงเป็นอันดับ 2 ของปัญหาสุขภาพจิตของคนไทยทุกวันนี้
ไบโพลาร์คืออะไร? และเป็นโรคที่น่ากลัวหรือไม่?
"เวลาอารมณ์ดี จะเอาเงินไปซื้อของแพงๆ ใครมาพูดขออะไรก็ซื้อให้หมด แต่เวลาอารมณ์แย่ๆ เคยเอารองเท้าปาใส่ทีวี แล้วโยนทีวีทิ้งลงพื้นมาแล้ว" ผู้ป่วยรายหนึ่งเปิดเผยกับ "ผู้สื่อข่าว PPTV HD"
โดยผู้ป่วยรายนี้กล่าวว่าอาการที่เค้าประสบในโรคไบโพลาร์ คือจะมีอารมณ์แค่ 2 ขั้ว เวลาดีก็ดีใจหาย เวลาโมโหร้าย ก็ร้ายสุดขั้ว เป็นโรคอารมณ์ไม่มีตรงกลาง และเขาทรมานกับโรคนี้มาก
จากข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ระบุว่า โรคไบโพลาร์ หรือ โรคอารมณ์สองขั้ว จัดอยู่ในกลุ่มโรคทางด้านเรื่องอารมณ์ คือโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีภาวะทางอารมณ์ 2 แบบ คือ ภาวะแมเนีย(คลุ้มคลั่งหรือร่าเริงผิดปกติ) และภาวะซึมเศร้า (Manic - Depressive Disorder) อาการทั้ง 2 อารมณ์นั้นรุนแรงและไม่ใช่อารมณ์ปกติ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จนรบกวนการทำงานและจิตใจด้านความสามารถด้านต่างๆ และมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพของสมอง ภาวะโรคจะครอบงำบุคคลนั้น จนทำให้สูญเสียตัวตนไป
อาการของแต่ละภาวะจะแตกต่างกัน ในภาวะซึมเศร้าผู้ป่วยจะขาดความร่าเริงไม่รู้สึกสนุกสนานกับเรื่องต่างๆ ไม่อยากออกสังคม ขาดสมาธิ หงุดหงิดง่ายกว่าปกติ มีความคิดที่จะทำร้ายตัวเองและมองว่าตัวเองเป็นบุคคลไร้ค่า แต่หากอยู่ในภาวะคลุ้มคลั่งจะส่งผลให้ผู้ป่วย มีความต้องการทางเพศสูงขึ้น ขยันทำกิจกรรมต่างๆ ความต้องการในการนอนจะลดลงแต่จะไม่รู้สึกอ่อนเพลีย สมาธิสั้นลงไม่สามารถจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้เป็นเวลานาน โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยไบโพลาร์ จะแสดงภาวะซึมเศร้ามากกว่าภาวะคลุ้มคลั่งถึง 3 เท่า ส่งผลให้ผู้คนซึมเศร้าจนบางรายถึงขั้นฆ่าตัวตายจากภาวะดังกล่าว
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โรคไบโพลาร์มีสาเหตุเกิดจากหลายปัจจัย ตั้งแต่พันธุกรรม เด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นโรคมีโอกาสเป็นโรคสูงกว่าคนทั่วไป 4 เท่า รวมทั้งจากความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง ความเครียด การประสบภาวะวิกฤตชีวิตรุนแรง หรือการใช้สารเสพติด โดยผู้ป่วยจะมีอารมณ์ 2 ขั้วสลับกันคือ ซึมเศร้า กับ ร่าเริงผิดปกติ กลุ่มเสี่ยงที่สุดคือคนอายุ 20-30 ปี ซึ่งเป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อของการเรียน การทำงาน
อาการจะเริ่มจากขยันผิดปกติ คึกคัก แล้วเปลี่ยนเป็นซึมเศร้า ร้องไห้ หรือหลงผิดว่ามีอำนาจวิเศษเหนือคนอื่น หากปล่อยไว้ 2-3 สัปดาห์ อารมณ์จะรุนแรง ก้าวร้าวจนญาติรับมือไม่ไหว วิธีสังเกตุคือหากมีอาการ พูดมาก พูดเสียงดัง แต่งตัวแปลกๆ ไม่ยอมนอน ให้รีบไปพบแพทย์
ขณะที่ พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยกับ "ผู้สื่อข่าว PPTV HD" ว่า ในปี 2556 มีผู้ป่วยที่มารับบริการในสถานพยาบาลสังกัดกรมสุขภาพจิต มีจำนวน 156,663 ราย พบเป็นผู้ป่วยไบโพลาร์ 52,852 ราย หรือประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยที่มารับบริการทั้งหมด ในจำนวนนี้มีการคาดการณ์ว่าขณะนี้มีแนวโน้มว่าคนไทยเป็นโรคไบโพลาร์แล้ว 1 ล้านคน ขณะที่ตอนนี้ทั่วโลกมีการคาดการณ์ว่ามีผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ประมาณ 27 ล้านคน หรือร้อยละ 1-2 ของประชากรโลก
ข้อมูลที่น่าสนใจคือในจำนวนนี้มีถึงร้อยละ 20 ของผู้ป่วยที่มีอาการภาวะซึมเศร้าที่มีสิทธิฆ่าตัวตาย
พญ.พรรณพิมล กล่าวว่า เมื่อพบว่าใครป่วยเป็นโรคนี้ แนวทางการรักษา ก่อนอื่นมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องแยกภาวะซึมเศร้าของโรคให้ออกก่อนว่าแท้จริงแล้วเกิดจากโรคไบโพลาร์(Major Depressive Disorder) หรือ โรคอารมณ์เศร้า(Unipolar Depression) เพราะการดำเนินการรักษาโรค ตลอดจนแนวทางการรักษาและป้องกันจะแตกต่างกัน
"อาการภาวะซึมเศร้าของทั้ง 2 โรคมีความคล้ายคลึงกันมาก แต่อาการจากโรคไบโพลาร์จะรุนแรงกว่า การรักษาจะต้องดำเนินการ 3 อย่างควบคู่กันไป การใช้ยา,จิตบำบัด,สภาพแวดล้อมของผู้ป่วย" พญ.พรรณพิมล กล่าว
พร้อมระบุว่าโดยทั่วไปการรับประทานยาประมาณ 2 สัปดาห์จะช่วยให้อาการเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงแม้อาการจะดีขึ้นแต่ก็หยุดยาไม่ได้ ต้องรักษาต่อเนื่อง 2-5 ปี
สิ่งที่สำคัญในการรักษาไม่น้อยไปกว่ายาคือ ผู้ป่วยจะต้องรับการรักษาด้วยการทำจิตบำบัดควบคู่ไปด้วย เพื่อลดภาวะความเครียด เลิกยุ่งกับสารเสพติด ยากระตุ้น คาเฟอีน หรือสารมึนเมา ควบคุมเวลานอนพักผ่อนให้เพียงพอ และที่สำคัญสภาพแวดล้อมของผู้ป่วยไม่ว่าจะครอบครัว เพื่อน ที่ทำงาน ต้องเข้าใจในตัวผู้ป่วยและช่วยกันป้องกันผู้ป่วยไม่ให้อาการกำเริบ ถ้าหากอาการกำเริบรุนแรงจะส่งผลให้ผู้ป่วยกลับเข้าไปมีอาการของโรคไบโพลาร์อีกได้ ส่งผลให้ผู้ป่วยอาจถึงขั้นฆ่าตัวตายได้
โรคนี้จึงเป็นโรคที่ยากจะหายขาด!
"ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป แต่ครอบครัวและคนรอบข้างต้องคอยเฝ้าระวังช่วยดูแลเรื่องการกิยนาสม่ำเสมอ งดให้ผู้ป่วยรับสารกระตุ้นหรือสารมึนเมา เช่น เหล้า หรือ กาแฟ คอยสังเกตุอารมณ์และพฤติกรรม หากพบผู้ป้วยมีอาการแปลกๆ ให้รีบพาพบแพทย์โดยด่วน" พญ.พรรณพิมล กล่าว
เมื่อโรคนี้จะต้องรักษายาวนานถึง 2- 5 ปี ค่าใช้จ่ายค่ายาอาจเป็นภาระที่มองข้ามไม่ได้ ผู้ป่วยบางรายอาจต้องใช้เงินจำนวนมากในการรักษาตัวเองในโรคนี้
พญ.พรรณพิมล กล่าวว่า โดยความเป็นจริงแล้ว ค่ารักษาโรคนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะระยะเวลาที่รักษา ตัวยาที่คนไข้ต้องใช้ โรงพยาบาลที่เข้ารับการรักษา และสิทธิประกันรักษาพยาบาลของตัวผู้ป่วยด้วยว่าครอบคลุมหรือไม่ แต่ทั้งนี้คนที่เป็นโรคไบโพลาร์ก็ควรจะไปหาหมอเพื่อรักษา ขณะที่ญาติพี่น้องต้องมีความเข้าใจและดูแลผู้ป่วยให้ถูกวิธี
รายงานพิเศษโดย: ชนันท์ เพียรเพิ่มภัทร