"เปิดช่องให้เอกชนเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น” คือประเด็นหลัก ที่ถูกนำเสนอในงานเสวนาเรื่อง “ร่าง พรบ.แร่ ฉบับใหม่” ซึ่ง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย นักวิชาการ มหาวิทยาลัยรังสิต มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อมและตัวแทนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกิจการเหมืองแร่ในหลายพื้นที่ เห็นตรงกันว่าในบางมาตราของร่างพ.ร.บ.แร่ฉบับนี้ไม่ได้แตกต่างกับฉบับเดิม ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2510 มากนัก และยังมีช่องโหว่บางจุดที่อาจช่วยให้เอกชนเข้ามาลงทุนง่ายขึ้น
โดยยกมาตรา132 ที่ระบุว่า “หากพบพื้นที่ใดเหมาะสมจะพัฒนาเป็นแหล่งแร่ได้ ภาครัฐสามารถทำอีไอเอเพื่อเตรียมนำพื้นที่นั้นให้เอกชนร่วมประมูลเพื่อขอออกประทานบัตรและอาชญาบัตร” ซึ่งตีความได้ว่า จะช่วยเอกชนลดขั้นตอนการขอใบอนุญาตสำหรับประกอบกิจการเหมืองแร่
อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ มาตรา 12 ซึ่งให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกาศกำหนดพื้นที่เป็นแหล่งแร่ได้หากมีความเหมาะสม โดยครอบคลุมไปถึงเขตป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ต้นน้ำชั้น 1 A รวมทั้งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งในกฎหมายฉบับเดิม ไม่ได้ระบุไว้ว่าทำได้หรือไม่
ร่างพ.ร.บ.แร่ฉบับนี้ ผ่านความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ซึ่งทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเตรียมนำข้อเสนอในวันนี้ส่งให้ สนช.นำไปพิจารณาต่อไป