บางกอกไฟ(ต์) 39.5 ล้านบาท

โดย PPTV Online

เผยแพร่

ประเด็นอุโมงค์ไฟ มูลค่า 39.5 ล้านบาท ที่กรุงเทพมหานคร จัดทำเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ลานคนเมือง เมื่อปลายปี 2558 ถึงต้นปี 2559 กลับมาเป็นประเด็นใหญ่อีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ และการประกวดราคา ซึ่ง PPTV ของเรา เป็นผู้เปิดประเด็น และติดตามมาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อวานนี้ ผู้ว่าการตรวจเงินผ่านดิน นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ออกมาแถลงผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวหา ข้าราชการ กทม.9 ราย รวมทั้ง ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ บริพัตร ผู้ว่า กทม.มีส่วนร่วมรู้เห็น ตั้งแต่การออกร่างทีโออาร์ ไปจนถึงการประกวดราคาที่เอื้อประโยชน์ให้เอกชน ทำให้วันนี้ ผู้ว่าฯ กทม.ต้องออกมาแถลงตอบโต้ทันที

“เป็นเรื่องปกติครับที่ผมจะให้รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไปชี้แจงต่อองค์กรตรวจสอบในเรื่องที่ตนกำกับดูแล เป็นเรื่องปกติครับ ผมเชิญมาก็ต้องเชิญผมสิครับ จะไปเชิญใคร ก็ต้องเชิญผู้บริหารสูงสุด แต่เป็นเรื่องปกติครับที่ผมมอบหมาย ไม่ได้หนีครับ เป็นเรื่องปกติมาก ผมถือว่าการไปให้ข้อมูลนั้นเป็นเรื่องเทคนิค เป็นเรื่องรายละเอียด ซึ่งผู้ที่รู้ดีที่สุดก็คือรองผู้ว่าฯ และข้าราชการอาวุโสที่เกี่ยวข้อง คือ จะบอกว่าไม่ร่วมมือก็ไม่ได้ ร่วมมือตั้งแต่งานยังไม่เสร็จเลยครับ มีที่ไหนบ้าง งานยังไม่เสร็จนะครับ แต่บอกว่าผิดแล้ว”

ประเด็นหลัก ที่หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชี้แจงในวันนี้ คือ ข้อสังเกตต่อกระบวนการทำงานของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. หลังถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการร่าง ทีโออาร์ และการประกวดราคาที่อาจเอื้อประโยชน์เอกชน จากโครงการไฟประดับลานคนเมือง 39.5 ล้านบาท โดยย้ำว่า สตง.ไม่เคย บอก หรือ ตักเตือน ว่ากระบวนการที่ทำไป ไม่ถูกต้อง

 “และขอให้องค์กรตรวจสอบทุกองค์กรให้ความเป็นธรรมกับลูกน้องผมด้วยครับ ถ้าเขาทำผิดอะไรตรงไหน ก็บอกมา เราก็ต้องที่จะตรวจสอบในส่วนของเราเองอยู่แล้ว แล้วก็ตรวจสอบอยู่ตลอดเวลาครับ จริงๆ นั่งอยู่ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานครก็มี สตง. ตัวแทน สตง.นั่งอยู่ครับ แต่ไม่มีคำแนะนำแม้แต่คำเดียวครับว่างานนี้เนี่ยมันไม่ถูกต้อง ไม่มีครับ พอมีคำกล่าวออกมาก็ผิดแล้วนะครับ ผมขอเรียนแค่นี้ครับ ส่วนการชี้แจงจะทำไปอย่างต่อเนื่องครับ”

นอกเหนือไปจากคำตอบโต้โดยตรงไปที่ สตง. ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดการร่างทีโออาร์ การกำหนดราคากลาง หรือการคัดเลือกเอกชนตามข้อกล่าวหาของ สตง. เพียงชี้แจงว่า ต้องใช้งบประมาณ “งบกลาง” เพราะถูกตัดงบการท่องเที่ยว และการแถลงข่าว ก็เน้นไปที่คำยืนยันว่า โครงการนี้เป็นไปตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป

ส่วนประเด็นทางกฎหมาย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะให้ฝ่ายกฎหมายดูว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อ สตง.หรือไม่ พร้อมประกาศจะฟ้องร้องสื่อมวลชน หากกล่าวหาว่าทุจริต

 “ขอเรียนให้ทราบว่ามติเมื่อวานนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการที่จะต้องดำเนินการต่อไป ยังไม่มีใครผิดใครถูกนะครับ ตามกฎหมาย ใครเขียนอย่างนี้ต้องระวังเรื่องกฎหมายนะครับ ต่อจากนี้ไปผมไม่ไว้หน้านะครับ เห็นๆ กันอย่างนี้ ถ้าใครบอกว่าผมผิด ผมฟ้องละนะครับ ผมลองปรึกษาคณะนักกฎหมายดูว่าในเรื่องของกฎหมายจะทำอะไรบ้าง ไม่ใช่ให้ความคุ้มครองผม ผมไม่สนใจครับ ผมมาอยู่ตรงนี้ผมรู้ว่าอัตราความเสี่ยงเป็นยังไง ผมเป็นห่วงลูกน้องผมครับ ลูกน้องผมต้องได้รับความเป็นธรรม”

ด้านพลตำรวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ระบุว่า ทันทีที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ส่งสำนวนคดีโครงการไฟประดับ ของ กทม. จะตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง มาพิจารณาองค์ประกอบความผิดได้ทันที พร้อมเชื่อว่าสำนวนของ สตง. จะทำให้การพิจารณามีความรวดเร็วมากขึ้น

ส่วนนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกต จากการตรวจสอบของ สตง. ว่านายจุมพล สำเภาพล และนายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ควรมีความผิดร่วมกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ด้วย แม้จะเคยชี้แจงกับ สตง.ว่าโครงการดังกล่าวเป็นนโยบายของผู้ว่าเนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอและอนุมัติงบประมาณโครงการ พร้อมเสนอให้นำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ ศอตช. เพื่อให้นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจ ตามมาตรา 44 ดำเนินการ

คำชี้แจงของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แม้จะเน้นชี้แจงเกี่ยวกับกระบวนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นหลัก และย้ำว่า มีเจ้าหน้าที่ สตง. อยู่ที่ กทม.ด้วย แต่ก็ไม่ได้ท้วงติง โดยผู้ว่าฯ กทม. ไม่ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง แต่ก็มีบางถ้อยคำ ที่อาจไปเชื่อมโยงได้กับข้อกล่าวหาของ สตง. โดยเฉพาะประเด็นใหญ่ “การใช้ งบกลาง” ติดตามจากรายงาน

 “งบการท่องเที่ยวถูกตัดครับ เราเสนอไป 241 ล้านได้มา ถ้าจำไม่ผิด 50 ล้าน ผมเคารพครับ การปรับลดงบประมาณโดยองค์กรที่ถูกต้องผมเคารพครับ แต่คำถามสำหรับผมในฐานะผู้บริหารคือจะทำยังไง ที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนมีรายได้ ก็จึงเป็นที่มาของโครงการนี้ ไม่ได้คิดขึ้นวันนี้แล้วทำพรุ่งนี้ครับ อยากทำมาหลายปีแล้ว อยากทำมาหลายปีแล้วแต่ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองมันยังไม่เหมาะสม แต่ว่ามันถึงเวลาแล้วเนื่องจากงบการท่องเที่ยวไม่เพียงพอ ผมก็ใช้อำนาจผมครับ”

ช่วงหนึ่งของการแถลงวันนี้ ผู้ว่า กทม.บอกว่า โครงการอุโมงค์ไฟ “กรุงเทพ แสง สี แห่งความสุข” เป็นโครงการที่คิดไว้ล่วงหน้านานหลายปีแล้ว แต่ที่ใช้งบประมาณ “งบกลาง” เพราะ กทม.ถูกตัดงบประมาณส่งเสริมการท่องเที่ยว จากที่ขอไปกว่า 200 ล้าน เหลืองเพียง 50 ล้านบาท

“งบกลาง” เป็นประเด็นแรก ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตั้งข้อสังเกตกับโครงการนี้ เพราะการใช้ “งบกลาง” ทำให้โครงการนี้ ไม่ถูกอภิปรายความเหมาะสมผ่านสภา กทม. แต่ใช้ “อำนาจผู้ว่า” อนุมัติได้โดยตรง คำถามที่ สตง.ตั้งไว้ จึงเป็นประเด็นใหญ่ที่ว่า ทำไมต้องใช้งบกลาง

แม้ที่ผ่านมา ผู้บริหาร กทม.จะยืนยันว่า งบประมาณที่ใช้ เป็น งบกลาง ไม่ใช่ งบฉุกเฉิน แต่ในหลักการใช้จ่ายงบประมาณ สตง.ยืนยันมาตลอดว่า “งบกลาง” จะถูกนำมาใช้ได้ก็ต่อเมื่อ “มีความจำเป็นเร่งด่วน”

สตง. พิจารณาว่า โครงการนี้ จัดขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งสามารถบรรจุไว้ในแผนงานประจำปีล่วงหน้าอยู่แล้ว และเมื่อ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บอกเองว่า “คิดมานานแล้ว” ยิ่งน่าสนใจว่า ทำไมไม่บรรจุโครงการนี้ไว้ในแผนประจำปี ที่ต้องผ่านการพิจารณาผ่านสภา ประเด็นนี้ ผู้ว่า กทม. ย้ำว่า “เป็นนโยบาย” ส่งเสริมการท่องเที่ยว

“แล้วผมถือว่าเป็นเรื่องนโยบาย ผมไม่ได้มาอยู่ตรงนี้เพื่อไม่ทำอะไรเลย อยู่นิ่ง ยอมรับสภาพ ยอมให้การท่องเที่ยวมีปัญหา ยอมให้พี่น้องประชาชนไม่มีโอกาส (ชูนิ้วชี้) ผมไม่ได้มาอยู่ตรงนี้เพื่อการนี้ครับ และใครที่คิดว่าผมจะมาอยู่ตรงนี้่เพื่อการนี้ผมก็ช่วยไม่ได้ครับ ผมช่วยไม่ได้จริงๆ ครับ”

ตลอดการชี้แจงของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ มีเพียงประเด็นการใช้ “งบกลาง” เท่านั้น ที่ตอบโต้ข้อกล่าวหาของ สตง. แต่ในการแถลงของ สตง.เมื่อวานนี้ ยังบ่งชี้ ลงรายละเอียดไปในกระบวนการ ตั้งแต่การร่างทีโออาร์ ไปจนถึง การประกวดราคา ที่กล่าวหาว่า อาจเอื้อประโยชน์ให้เอกชน ประเด็นเหล่านี้ ผู้ว่าฯ กทม.เพียงชี้แจงในวันนี้ พร้อมให้ความร่วมมือตรวจสอบ และขอให้ สตง.อ่านเอกสารให้ละเอียด

ข้อสังเกตใหญ่ของ สตง. ต่อโครงการนี้ เพราะโครงการเช่นนี้ โดยปกติแล้วต้องใช้บริษัทที่มีประสบการณ์ในการจัดไฟประดับเข้ามาทำงาน เพราะเป็นเรื่องทางเทคนิค แต่ใน TOR กลับไม่ได้ระบุในคุณสมบัติของผู้รับเหมา ว่าต้อง “มีประสบการณ์” และประเด็นนี้ส่งผลต่อเนื่องไปยังประเด็นถัดไป

ประเด็นสำคัญอีกประเด็น ที่ สตง.ให้น้ำหนักมาก คือ “เอกชน” ที่เข้าร่วมประกวดราคา ล้วนไม่ใช่บริษัทที่มีประสบการณ์ในด้านนี้ โดยบริษัทที่ชนะการประกวดราคา คือ คิวริโอ ทัวร์ แอนด์ ทราเวิล เป็นบริษัทนำเที่ยว ที่เคยได้งานนำเที่ยวจากกทม.มาก่อนหน้านี้ และบริษัทนี้ เพิ่งจะแจ้งเพิ่มวัตุถุประสงค์ของบริษัท เป็นประกอบกิจการไฟประดับตกแต่ง เมื่อ 17 กันยายน 2558 ส่วนบริษัทที่เข้าแข่งขัน คือ บ.สรรค์สร้าง จำกัด เพิ่มวัตถุประสงค์แบบเดียวกัน เมื่อ 2 ธันวาคม 2558 ก่อนวันเสนอราคาเพียง 15 วัน ที่สำคัญ คือ บ.จิปาถะไอเดีย ซึ่ง กทม.ชี้แจงว่า เป็นบริษัทที่ปรึกษา ที่กทม.ไปสอบถาม เพื่อหาราคากลาง 40 ล้านบาท ก็เพิ่งเพิ่มวัตถุประสงค์เมื่อเดือน กรกฎาคม และยังไม่เคยทำโครงการใดมาก่อน แต่กลับใช้เป็นฐานอ้างอิงราคากลาง

อีกข้อหนึ่ง ที่มีหลักฐานน่าสงสัย คือ วันที่ แผงไฟ ซึ่งนำมาใช้ในงานนี้ ซึ่งนำมาจากประเทศจีน ขึ้นฝั่งผ่านด่านของกรมศุลกากร ลงวันที่แจ้งไว้คือ 16 ธันวาคม 2558 แต่ การเสนอราคา มีขึ้นในวันที่ 17 ธันวาคม 2558 และรู้ผลวันที่ 18 ธันวาคม ทำให้ สตง.สงสัยว่า ทำไมผู้ประกอบการจึงนำแผงไฟเข้ามาก่อน ที่จะรู้ผลการประกวดราคา

และจุดที่น่าสนใจ คือ รายละเอียดของแผงไฟว่าเป็นรูปร่าง หน้าตาอย่างไร ที่ระบุไว้ใน TOR สอดคล้องกับแผงไฟที่นำเข้ามาก่อนหรือไม่ เพราะ สตง.ตั้งข้อสังเกตว่า การที่ไม่มีบริษัทที่มีประสบการณ์เข้าร่วมแข่งขัน เพราะมีเวลาน้อยเกินไปที่จะติดตั้งแผงไฟ เว้นแต่ว่า คนที่ทำได้ อาจมีแผงไฟสำเร็จรูปอยู่แล้ว ที่คล้ายกับสเปคใน TOR 

Bottom-BDMS Bottom-BDMS

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

PPTVHD36

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ