รายงานการค้นพบวิตามินหลากหลายชนิดในนมยีราฟนี้วิจัยโดยกลุ่มนักวิจัยกลุ่มหนึ่งเมื่อปี 1962 โดยผลการรายงานนั้นถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือ Zoology ชี้ให้เห็นว่าในนมยีราฟนั้นมีปริมาณไขมัน 12.5% ซึ่งมากกว่านมวัวพร่องมันเนยที่มีไขมันอยู่ 1.5%-1.8% ขณะที่นมวัวขาดมันเนยมีอยู่เพียง 0.3%
ในรายงานยังระบุว่าในนมยีราฟนั้นมีวิตามินที่มีประโยชน์มากมาย โดยวิตามินบี 2, บี 1, บี 16 มีปริมาณเท่ากันกับในนมวัว แต่สิ่งที่มหัศจรรย์คือ นมยีราฟมีวิตามินบี 12 และวิตามินเอ มากกว่านมวัว ซึ่งวิตามินบี 12 นั้นมีสรรพคุณช่วยรักษาอาการโลหิตจาง, ปลายประสาทอักเสบ, อาการชาตามปลายมือปลายเท้า และความจำเสื่อม ขณะที่วิตามิน A เป็นวิตามินที่จัดว่ามีประโยชน์อย่างมากกับร่างกาย โดยเฉพาะกับสายตาและผิวหนัง อีกทั้งยังเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
แม้ว่านมยีราฟจะมีปริมาณไขมันที่สูงมาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ดีต่อร่างกาย ผลการศึกษาอีกหนึ่งชิ้นจากมหาวิทยาลัยทัฟส์ในรัซแมสซาชูเซตส์ ของสหรัฐฯ ยืนยันข้อมูลนมยีราฟเมื่อปีที่แล้วหลังจากได้มีการติดตามพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์ประเภทนมวัวของคนจำนวนทั้งหมด 3,333 คน เป็นเวลานานกว่า 2 ทศวรรษ ผลปรากฏว่าคนที่ดื่มนมเป็นประจำมีโกาสน้อยแค่ 46% ที่จะป่วยเป็นโรคเบาหวาน เมื่อเทียบกับคนไม่บริโภคอะไรเลย
หลังการวิจัยนี้แพร่สะพัดออกไป ในเสิชเอนจินของกูเกิล ก็ปรากฏคำถามยอดฮิตว่า นมยีราฟดื่มได้จริงหรือไม่ หาซื้อได้ที่ไหน เป็นต้น แต่น่าเสียดายที่ไม่มีวางขายในท้องตลาด และก็ยังไม่มีผู้ผลิตใดๆ กล้าทำนมยีราฟนี้ขึ้นมา เพราะกลัวไม่เป็นที่นิยมนั่นเอง แต่บางฝ่ายกลับมองว่า อยากให้มีการวางขายอย่างเป็นเรื่องเป็นราวทั้งนี้ก็เพื่อช่วยอนุรักษ์ยีราฟไม่ให้สูญพันธุ์ หลังจำนวนประชากรยีราฟลดลงตั้งแต่ปี 1985