อ้อมกอดแรกของพ่อและลูกชายที่ได้พบกันในรอบ 15 ปีที่เต็มไปด้วยน้ำตาของความรู้สึกผิดและความดีใจ หลังจากลูกชาย คือนายปิยบุตร พลายมูน หรือ อั้ม วัย 23 ปี ได้หนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เพราะเพื่อชวนนั่งรถเมล์เพื่อไปดูหนังกลางแปลงที่สนามหลวง ด้วยความเป็นเด็กที่ขณะนั้นมีอายุได้เพียง 7 ขวบ ทำให้เด็กชายอั้มในวันนั้น กลัวว่าจะต้องถูกตีถ้าหากกลับบ้าน เขาจึงเลือกใช้ชีวิตเป็นเด็กเร่ร่อน หาเลี้ยงชีพด้วยการขอทานที่สนามหลวงและตรอกข้าวสาร
7 ปีผ่านไป เด็กชายอั้มในวัย 14 ปี เติบโตขึ้น และคิดถึงครอบครัว เขาตัดสินใจไปแจ้งความกับสถานีตำรวจในกรุงเทพฯ 3 แห่ง เพื่อให้ช่วยตามหาครอบครัว แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะ 7 ปี ในสถานะเด็กเร่ร่อน ไม่มีบัตรประชาชน ทำให้เขาถูกมองในภาพที่ไม่ดีนัก เมื่อเข้าสู่วัย 19 ปี นายอั้ม ไปทำงานรับจ้างที่หัวหิน เห็นเพื่อนที่ทำงานกลับบ้านไปหาครอบครัวในช่วงวันหยุดเทศกาลต่างๆ จึงเริ่มคิดถึงครอบครัวและอยากตามหาอีกครั้ง
จากนั้นเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา นายอั้ม ในวัย 23 ปี มาที่มูลนิธิกระจกเงาให้ช่วยตามหาครอบครัวให้ โดยที่ไม่รู้จักชื่อจริงตัวเอง รู้เพียงชื่อพ่อ – แม่ และบอกได้เพียงว่า บ้านอยู่แถวรางรถไฟซึ่งไม่แน่ใจว่าที่ไหน แต่ความพยายามนี้ ก็ทำให้ “นายอั้ม” ได้พบพ่อแท้อีกครั้ง เขาจึงตัดสินใจ “กลับบ้าน” มาอยู่กับพ่อตั้งแต่วันนี้เลย
หลังได้รับข้อมูลช่วงเดือนเมษายน มูลนิธิกระจกเงา พยายามหารายละเอียดแหล่งที่อยู่ของนายอั้มให้มากที่สุด จนสันนิษฐานว่า จะอยู่แถวชุมชนยมราช แต่ที่นั่นไม่มีใครรู้จักครอบครัวนายอั้ม แต่แนวทางที่มีพลังมากกว่า คือการนำข้อมูลที่มีอยู่ ไปประกาศหาผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ จนกระทั่งมีพลเมืองดีแจ้งเบาะแสว่า ครอบครัวของนายอั้ม อยู่ที่ริมทางรถไฟบางซื่อ
จากข้อมูลของมูลนิธิกระจกเงา พบว่า มีเด็กอีกจำนวนมาก ที่หายไปนับ 10 ปี เช่นเดียวกับกรณีนี้ และมีโอกาสน้อยที่เด็กจะออกตามหาครอบครัวเองอย่างที่เกิดขึ้นกับกรณีนี้ เพราะส่วนใหญ่มีแต่ฝ่ายครอบครัวที่ตามหาเด็ก จึงยากจะหาพบ ส่วนนายอั้ม ฝากให้ชีวิต 15 ปี ที่ยากลำบากของเขากลายเป็นอุทธาหรณ์สำหรับเด็กที่คิดหนีออกจากบ้าน ว่า การเป็นเด็กเร่ร่อน ทำให้เขาต้องเผชิญความลำบากมาก