ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น้ำได้ไหลเข้าท่วมในเขตเศรษฐกิจตัวเมืองชัยภูมิเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะสถานที่ราชการอย่าง ศาลากลางจังหวัด โรงพยาบาล และเส้นทางหลายแห่ง ระดับน้ำสูงประมาณ 50-60 เซนติเมตร
โดยระดับน้ำยังท่วมขัง ชุมชนกุดแคนหัวถนน และชุมชนโนนสมอ ซึ่งอยู่ติดริมลำน้ำประทาว ทำให้ชาวบ้านกว่า 400 ครอบครัวได้รับความเดือดร้อน และหลายครอบครัวต้องเดินลุยน้ำออกมารับความช่วยเหลือ
ทั้งนี้สถานการณ์น้ำในแม่น้ำยมในอำเภอเมืองสุโขทัย ปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังต่ำกว่าจุดวิกฤติประมาณ 60 เซนติเมตร ทำให้แรงดันน้ำผุดเข้ามาบริเวณรอยรั่วของผนังกั้นน้ำ ด้านหลังวัดไทยชุมพล จนเกิดน้ำท่วมในเขตเทศบาลเมืองสุโขทัย ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารกำลังเร่งนำกระสอบทรายและแผ่นพลาสติก มาล้อมปิดบริเวณดังกล่าว เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำขยายวงกว้าง
ขณะที่อิทธิพลของพายุทกซูรี ได้อ่อนกำลังลง และเคลื่อนผ่านประเทศไทยแล้ว ส่งผลให้ฝนตกลดลง แต่ยังคงเฝ้าระวังพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดสุโขทัย และพิษณุโลก ที่จะยังคงมีฝนตกบางพื้นที่ ซึ่งจะทำให้เกิดน้ำล้นตลิ่งไหลลงพื้นที่ภาคกลาง เบื้องต้นประสานกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแจ้งเตือนประชาชนให้ป้องกันน้ำท่วมฉับพลัน
นอกจากนี้ช่วงปลายเดือนกันยายน จะมีร่องมรสุมเคลื่อนผ่านพื้นที่ภาคกลาง ส่งผลให้พื้นที่ลุ่มเกิดน้ำท่วมได้ เนื่องจากยังมีน้ำเหนือไหลมาสะสม ด้านกรมชลประทานมั่นใจว่า แม้น้ำเหนือจะไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงปลายเดือนนี้ ก็จะไม่กระทบต่อพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง เพราะน้ำบางส่วนไหลลงสู่แม่น้ำน่านแล้ว พร้อมเตรียมพื้นที่รองรับน้ำบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา และทุ่งผันน้ำไว้ซึ่งคาดว่าจะรองรับได้แน่นอน
อย่างไรก็ตามปริมาณฝนที่ตกต่อเนื่องส่งผลดีต่อปริมาณในเขื่อน โดยทางกรมชลประทานมั่นใจว่า 4 เขื่อนใหญ่ คือ เขื่อนสิริกิต์ เขื่อนภูมิพล เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนเจ้าพระยา จะยังสามารถรองรับน้ำได้อีก 8000 ล้านลูกบาศก์เมตร และเมื่อสิ้นสุดฤดูฝน จะทำให้เขื่อนมีมากถึง 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเพียงพอสำหรับใช้อุปโภคและบริโภคปีหน้า