"ธนา ตันตรานนท์" หรือบทบาท “อ๋อง”ในภาพยนตร์แฟนฉัน เมื่อ 14 ปีที่แล้ว ปัจจุบันอายุ 25 ปีแล้ว ตอนนั้นจากเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ได้เรียนปกติ จนเข้ามาทำงานเล่นภาพยนตร์ มีคนรู้จัก ตอนนั้นก็ปรับตัวเองพอสมควร หลังจากแสดงหนังก็มีงานอีเวนท์ต่างๆ พอเริ่มเข้า ม.ต้น ก็กลับไปเรียน และเริ่ม “เกเร” พอย้อนมองกลับไปก็คิดว่า “เราทำตัวเองทั้งนั้น” ก็ยอมรับว่าเสียดายเวลา 7-8 ปี ที่ไม่ได้เรียน ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ที่เสียดายคือเราไม่ได้เรียนตามระบบ ใช้ชีวิตนอกกรอบจนเราเสียนิวัย และวันหนึ่งเราไม่ได้ใบปริญญา ทำให้เราใช้ชีวิตค่อนข้างลำบาก ตอนนั้นคิดว่าเราทำงานแฮนเมดขาย รับจ้างเขียนรูป เพนท์เสื้อ สร้างรายได้มากกว่า กับการต้องไปเรียนแล้วได้เงินเดือนแค่นั้น พอมาระยะหลังของก็ขายไม่ได้ และจะไปสมัครงานบ้างก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีใบปริญญา
สำหรับตอนนี้มีวุฒิแค่ ม.3 เพราะเรียนปวช.ไม่จบ รอบแรกคืออยากกลับไปเรียนใหม่ ไม่อยากให้ใบจบมีการแก้ ตอนนั้นสนใจแค่ศิลปะ แต่ไม่เอาวิชาอื่นๆที่เป็นทางวิชาการเลย ก็คล้ายๆกับข้ออ้าง แล้วก็ออกตอน ปี2 เทอม 2 จนกลับไปสมัครใหม่ แต่โรงเรียนเขาไม่รับ ตอนนั้นแม่ก็ตกใจ แต่เขาก็ยอมรับ และเชื่อมั่นในสิ่งที่เราจะทำ แม้ที่ผ่านมาจะมีทะเลาะกับแม่บ้างก็ตาม เริ่มจากแอบไปกับเพื่อน เนื่องจากขอแล้วแม่ไม่ให้ ก็เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการโดดเรียน
เคยกรีดแขนตัวเองจนต้องไปหาจิตแพทย์ ?
ตอนนั้นอยู่ในช่วงอายุ 17 ปี เกิดจากความกดดันในการที่จะเอาชนะตัวเอง ในสิ่งที่เราอยากจะทำ เราไม่ได้ทำตามระบบ มันทำให้เราก้าวกระโดด เราอยากเป็นศิลปิน อยากหาเงินให้ได้เยอะ มันมีความน้อยใจตัวเองที่ทำแล้วไม่สำเร็จ ไม่ได้มองเหตุผล เราคิดเยอะโทษคนนั้นคนนี้ แต่ไม่มองตัวเอง ทั้งทะเลาะกับแม่ เรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องความรัก พอผ่านจุดนั้นมาคือเพราะเราทั้งนั้น ตอนนั้นก็มีอาการซึมเศร้าด้วย
“ตอนนั้นกรีดแขนตัวเอง ก็ไม่เข้าใจตัวเอง ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร มีทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว มันเป็นผลเสีย เป็นทางออกที่ไร้สาระ เมื่อมามองย้อนไป เราก็คิดนะว่าเราไม่น่าทำ แต่อีกใจก็คิดว่าเป็นแบบนี้ดีแล้ว เพราะจะได้เตือนสติตัวเองตลอดเวลา เวลาเราจะทำอะไร เราจะไม่ใช้อารมณ์ พอเราเห็นแผลเป็น เวลาเรารู้สึกแย่ เราอ้างว้างไม่เหลือใคร พอเห็นแขนเราก็จะบอกว่า ไม่ใช่แล้ว เราต้องเปลี่ยนมุมมอง จะกลับไปเป็นแบบเดิมก็ไม่ใช่ มันเป็นผลเสียเพราะคนก็จะมองไม่ดี เพราะมันไม่ใช่แผลปกติทั่วไปแต่มันเป็นรอยกรีด ตอนนั้นก็คิดว่าอยากจะตาย ทำแต่มันไม่ตาย”
ไม่มีใครที่อยู่ข้างเราได้ดีกว่าคนในครอบครัว..
ตอนนั้นเราไม่ได้นึกถึงใคร นึกถึงแต่ตัวเองเสมอ แม่มารู้ทีหลังว่ากรีดข้อมือ แม่เสียใจมาก สิ่งที่คนอื่นมองเราว่าไม่ดี สุดท้ายแม่และคนในครอบครัว กลับเป็นฝ่ายที่มาปรับความเข้าใจ มาคุยกัน มาปลอบเรา มาคุยกันด้วยเหตุผล พร้อมที่จะกอดเราได้เสมอ ไม่มีใครที่อยู่ข้างเราได้ดีกว่าคนในครอบครัว ในวันที่เราบอกว่า แม่ไม่เข้าใจเรา แต่จริงๆแล้วเขาคือคนที่เข้าใจเรามากที่สุด เมื่อย้อนกลับไปมองวันที่ตัวเองเถียงแม่ วันที่เราขอแม่ไปเที่ยวกับเพื่อนแล้ว แม่ไม่ให้เราไป ตอนนั้นยอมรับว่าเรายังคิดไม่ได้ เวลามันทำให้เรามองเห็นตัวเองว่า เราทำอะไรอยู่ เหตุการณ์นี้น่าจะทำให้แม่เสียใจที่สุด จนคิดว่าเราเป็นลูกที่เลวมาก
ยก “อาจารย์เฉลิมชัย” เป็นไอดอลด้านศิลปะ
อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เป็นไอดอลของเราตั้งแต่ 4 ขวบแล้ว สมัยก่อนก็ชอบศิลปะ ขีดๆเขียน ๆ พอเห็นอาจารย์ในทีวีก็ชอบ ผลงานและการบรรยาย ก็ไปที่วัดบ่อยมากจนอาจารย์ก็สอนเรื่องการใช้ชีวิต ก็เป็นช่วงที่ใกล้ๆจะกลับเนื้อกลับตัวแล้ว ขณะที่ปัจจุบันผลงานศิลปะ “ตาข่ายดักฝันร้าย” เครื่องลางของอินเดียแดง เป็นผลงานศิลปะที่ “อ๋อง” ทำเองทุกขั้นตอน ด้วยความชอบงานอินเดียแดงและงานแฮนด์เมค อยู่แล้ว ทุกวันนี้เหลือขายแค่ในอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ไม่ได้ทำขายตามถนนคนเดินทั่วไปเหมือนแต่ก่อน และกำลังจะมีภาพยนตร์เรื่อง “คิดถึงทุกปี Memories of News Year”
แม้ว่าชีวิตของ “อ๋อง” จะเหมือนเรือที่ออกนอกเส้นทาง หลุดวงโคจรไปไกลมาก แต่ในวันนี้เขาจะกลับมาในเส้นทางเดิมอีกครั้ง เริ่มต้นจากการเรียนเพื่อเอาวุฒิปริญญาให้ได้ และไปให้สุดในเส้นทางที่เราอยากจะทำ ตอนนี้เราคิดว่าคนที่เก่งของเรา หาเลี้ยงตัวเองได้ ของดูแลครอบครัวได้และทำให้ครอบครัวเสียใจ ไม่ใช่คนสมัยก่อนที่เกเร ทะเลาะวิวาท โดดเรียน ทำร้ายตัวเอง และคิดว่าตัวเราเองถูกเสมอ คิดว่าคนที่เก่งของเราคือแบบนั้น จนทำให้ครอบครัวเดือดร้อน จนชีวิตดิ่งลงเหวอย่างที่ผ่านมา
ชมคลิป..เปลือยชีวิต “อ๋อง ธนา” ดารา “แฟนฉัน” ชีวิตดิ่งเหวจาก “ดาว” สู่ “หุบเหว” เคยฆ่าตัวตายนับครั้งไม่ถ้วน