เมื่อวันที่ (16 ก.พ. 61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลการสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย หรือ CSI ประจำเดือนธันวาคม 2560 ขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จากกลุ่มตัวอย่าง 2,400 ตัวอย่าง ทั้งข้าราชการ ผู้ประกอบการ และภาคประชาชน พบว่า ดัชนีอยู่ที่ระดับ 52 คะแนนน้อยลงจากเดือนมิถุนายน 2560 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 53 เต็ม 100 คะแนน ซึ่งค่าดัชนีที่น้อยลงแสดงว่าสถานการณ์คอร์รัปชันไทยแย่ลง
จากการสอบถามผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจกับภาครัฐ จะต้องจ่ายเงินพิเศษ หรือเงินใต้โต๊ะ ส่วนใหญ่ 54% ไม่ต้องจ่าย ส่วนอีก 24% ยังต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ ซึ่งจ่ายเฉลี่ยที่ 5-15 % ของเม็ดเงินโครงการ โดยหากประเมินวงเงินคอร์รัปชันจากงบประมาณรายจ่าย 2561 ที่ 2.9 ล้านล้านบาท จะเกิดเป็นมูลค่าวงเงินคอร์รัปชัน ประมาณ 1 – 2 แสนล้านบาท ที่หายไปจากระบบ และกระทบต่อจีดีพีให้ลดลง 0.41 – 1.23 % อย่างไรก็ตาม ภาพรวมความรุนแรงของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในปัจจุบันเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาจำนวน 37% มองว่ารุนแรงเพิ่มขึ้น, 33% มองว่าเท่าเดิม และ 30% มองว่าลดลง
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า ดัชนีสถานการ์คอร์รัปชันไทยที่ออกมา บ่งบอกได้ว่า สถานการ์คอร์รัปชันมีความรุนแรงและล่อแหลมมากขึ้น และเริ่มเห็นสัญญาณการจ่ายเงินใต้โต๊ะในสัดส่วนมากกว่า 20 % เพิ่มมากขึ้น แม้จะมีมาตรการป้องกันต่างๆ แต่หน่วยงานภาครัฐเริ่มหาช่องทางในการหาเงินใต้โต๊ะ ซึ่งการแก้ไขปัญหายังไม่ยากนัก เพราะประชาชนและภาคเอกชนมีความตื่นตัวและพร้อมร่วมตรวจสอบมากขึ้น
ส่วนจะส่งให้การประเมินดัชนีสถานการ์คอร์รัปชันไทยในรอบหน้าแย่ลงหรือไม่นั้น นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับความจริงจังของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา เพราะหลังจากนี้จะเข้าสู่ช่วงการประมูลโครงการของรัฐบาลมากขึ้น ทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อการคอร์รัปชันเพิ่มมากขึ้น