12 มิถุนายน 2561 ถือเป็นวันประวัติศาสตร์โลกอีกวันหนึ่ง เมื่อการเดินทางมาพบกันของ 2 ผู้นำระหว่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ โดยจุดนัดพบครั้งนี้ คือ ประเทศสิงคโปร์
ทำไมต้องเป็น สิงคโปร์ ...
ก่อนหน้านี้มีตัวเลือกหลายที่ที่พร้อมจะเป็นสถานที่จัดประชุมสุดยอดผู้นำครั้งประวัติศาสตร์นี้ โดยนายทรัมป์ เคยระบุว่า มีการพิจารณาสถานที่จัดประชุมใน 5 ประเทศ และถูกคัดมาจนเหลือ 2 ประเทศ คือ มองโกเลีย และสิงคโปร์ สุดท้ายก็ได้ข้อสรุป คือที่ โรงแรมคาเปลลา บนเกาะเซนโตซา ของสิงคโปร์ โดยทั้งสองผู้นำได้เดินทางมาถึงตั้งแต่วันอาทติย์ที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมี นายลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ให้การต้อนรับ
(อ่านข่าว 12 มิ.ย.61 นัดสำคัญ “ทรัมป์-คิม” พบกันครั้งประวัติศาสตร์ )
การเลือกสถานที่จัดการประชุมสุดยอดผู้นำที่ประเทศสิงคโปร์นั้น หลายคนมองว่าเป็นพื้นที่ที่เหมาะสม โดย ลิม ไถ้ เว่ย นักวิจัยสถาบันเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ บอกว่า สิงคโปร์ในฐานะประเทศเป็นกลางที่ได้รับคำชื่นชมในการดำเนินนโยบายการทูตแบบคงเส้นคงวา และเป็นประเทศเล็กๆ ที่ไม่เคยมีภัยหรือมหวังผลประโยชน์กับประเทศอื่นประเทศใดสิงคโปร์จึงเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
ขณะที่ เดวิด เอเดลแมน อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศสิงคโปร์ ก็มองว่า สิงคโปร์เป็นมหามิตรกับสหรัฐฯ ก็จริง แต่พวกเขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นมิตรกับทุกประเทศเช่นกัน ดังนั้นจึงได้รับความไว้วางใจและเชื่อถือจากทั่วโลก
แต่ถ้าดูจากปัจจัยสำคัญที่ทำให้ 2 ผู้นำเลืกสิงคโปร์ อาจเป็นเพราะด้วยสัมพันธ์ทางการทูตของสิงคโปร์กับเกาหลีเหนือและสหรัฐฯ ที่มีความใกล้ชิดระหว่างกันทำให้สิงคโปร์เป็นตัวเลือกสำหรับการจัดประชุมซัมมิต
โดยเกาหลีเหนือมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสิงคโปร์ตั้งแต่ปี 2518 มีสถานทูตตั้งอยู่ใจกลางเขตธุรกิจ สิงคโปร์มีเสถียรภาพด้านการปกครองด้วยพรรคเดียว การก่อกวนจากการประท้วงจะไม่เกิดขึ้นเพราะสิงคโปร์จะไม่ให้มีประท้วงหากไม่ได้รับอนุญาต หรือแม้กระทั่งความเข้มงวดของการควบคุมสื่อที่อยู่ในความดูแลของรัฐบาล
นายทอม แพลนต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธนิวเคลียร์และการแพร่ขยายแห่งสถาบันรอยัล ยูไนเต็ด เซอร์วิสในกรุงลอนดอน กล่าวว่า สิงคโปร์เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยม โดยคิมจะอยู่ในพื้นที่ที่เป็นมิตร ไม่ใช่พื้นที่ที่เป็นศัตรูแม้ไม่ได้อยู่ในพื้นที่บ้านเกิด
ในแง่ของระบบการรักษาความปลอดภัย สิงคโปร์เป็นประเทศอันดับต้นๆ ของโลกที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาความปลอดภัยด้านผู้นำ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้สิงคโปร์ทุ่มงบประมาณกว่าครึ่งจากค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 480 ล้านบาทไปกับการรักษาความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการประกาศเขตรักษาความปลอดภัยพิเศษรอบๆ บริเวณโรงแรมเซนต์รีจิส ที่พักของนายคิม จอง อึน โรงแรมแชงกรี-ลา ที่พักของนายโดนัลด์ ทรัมป์ และโรงแรมคาเปลา บนเกาะเซ็นโตซา สถานที่จัดการประชุม ความเข้มงวดไม่ให้ประชาชนอย่างน้อย 4 คน เข้ามาในพื้นที่ดังกล่าว วางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 5,000 นาย และเจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉินอีกกว่า 2,500 คน จัดเรือรบจากกองทัพเรือสิงคโปร์อีก 2 ลำ ลาดตระเวนรอบๆ เกาะเซ็นโตซา ไปจนถึงการใช้ทหารรักษาความปลอดภัยจากนักรบกูรข่า
โดย ประธานาธิบดีลีเซียนลุง ของสิงคโปร์ บอกว่า คุ้มค่าเพราะจะทำให้เกิดความมั่นคงในภูมิภาค
ขณะที่ คิม จอง อึน เองก็น่าจะคลายกังวลในเรื่องนี้ได้เพราะถือเป็นการเดินทางออกจากกรุงเปียงยาง ประเทศเกาหลีเหนือ ที่ไกลถึง 4,800 กิโลเมตรเป็นครั้งแรกหลังก่อนหน้านี้คือประเทศจีน
ด้านของการค้าทางธุรกิจในอดีต บริษัทของรัฐบาลเกาหลีเหนือทำธุรกิจทั้งถูกและผิดกฎหมายกับบริษัทสิงคโปร์ ก่อนที่สิงคโปร์จะถูกกดดันจากสหรัฐฯ รวมถึงสหประชาชาติตัดสัมพันธ์ทางการค้ากับเกาหลีเหนือในปี 2560 ตามมาตรการแซงก์ชั่นเกาหลีเหนือ
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการพบกันของ 2 ผู้นำโลกบนแผ่นดินสิงคโปร์จะนำมาซึ่ง “แสงสว่างแห่งสันติภาพ”
ที่มา : สำนักข่าว เอพี , TIME.com , COUNCIL on FOREIGN RELATION
ภาพ AFP