วันนี้ (13 ก.ค.61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การศึกษาถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน เพื่อวางแผนทำแบบจำลอง ของ รศ.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต ในช่วงเกิดภัยพิบัติ เด็กและโค้ช 13 คน เข้าไปติดถ้ำ ขณะเกิดน้ำหลาก ทำให้เห็นว่าไทยไม่เคยศึกษาข้อมูลพื้นฐานของถ้ำแห่งนี้มาก่อน แม้จะเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้วก็ตาม นั่นทำให้แนวทางการช่วยเหลือ 13 คน ใช้ระยะเวลานานหลายวัน ส่วนหนึ่ง เพราะต้องรอข้อมูลที่เชื่อถือได้จากชาวต่างชาติ ที่เคยเข้าไปสำรวจและทำเป็นข้อมูลไว้
บทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ภาครัฐของไทยขาดการศึกษาข้อมูลพื้นที่เสี่ยง ที่อาจเกิดภัยพิบัติได้ในแต่ละจังหวัด แม้ที่ผ่านมาใน พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 จะบัญญัติไว้ว่า แต่ละจังหวัด ต้องจัดทำข้อมูลพื้นที่เสี่ยงที่อาจเกิดภัยพิบัติ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
จากการข้อมูลศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ พบว่า ไทยมีโอกาสเสี่ยงได้รับภัยพิบัติหลักๆ 2 ประเภท คือจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เช่น น้ำท่วม น้ำหลาก ดินโคลนถล่ม หรือ คลื่นในทะเลเกิดการเปลี่ยนระดับ อย่างฉับพลัน และภัยพิบัติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก เช่น แผนดินไหว แม้จะมีโอกาสน้อย แต่จากข้อมูล ก็มีความเสี่ยง ที่จะเกิดขึ้นได้
แนวทางหลังจากนี้ นักวิชาการ แนะนำว่า หลังจากนี้ภาครัฐควรร่วมมือกับภาคประชาชนต้องศึกษาข้อมูลในแต่ละพื้นที่ และเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติต่างๆ ควรศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากเหตุการณ์เหล่านั้น มาเป็นข้อมูลในด้านต่างๆ เช่น แนวทางการกู้ภัย การจัดการด้านการขนส่งผู้ป่วย การทำงานของภาวะผู้นำ เพื่อใช้เป็นแนวทางในเหตุการณ์ภัยพิบัติ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต