คนปารีสถือว่าคุ้นเคยกับการประท้วงมากที่สุดเมืองหนึ่งในยุโรป เพราะรัฐบาลให้สิทธิเสรีมากกว่าเมืองอื่นเช่นกัน แต่เหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นในขณะนี้ คนปารีสเองยังบอกว่า ไม่เคยเห็นมานานถึง 50 ปีแล้ว
ในตอนแรกไม่มีใครคิดว่า ทุกอย่างจะบานกลายออกไป จากการชุมนุมประท้วงการขึ้นภาษีพลังงานเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นไปอย่างสงบ แต่ตอนนี้จุดมุ่งหมายของผู้ประท้วง อย่างน้อยก็บางกลุ่มก็ คือ การขับไล่รัฐบาลของประธานาธิบดี
และไม่ใช่แค่คนเพียง 2 กลุ่มนี้เท่านั้นที่ประท้วง แม้แต่เด็กนักเรียนชั้นประถม ก็เข้ามาผสมโรง ชุมนุมเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบการศึกษากับเขาด้วย ก็เลยทำให้ขนาดของกลุ่มผู้นุมชุมขยายตัวใหญ่ขึ้นอีกหลายเท่า เพราะเด็กๆ ก็พาพ่อแม่ของตัวเองออกมาด้วย
ถ้ามองในแง่ของจำนวนผู้ชุมนุมก็ถือว่าประสบความสำเร็จมาก แต่ในทางกลับกัน มากคนก็มากความ และแต่ละกลุ่มก็มีแกนนำเป็นของตัวเองไม่เกี่ยวข้องกัน และที่สำคัญคือไม่มีการประสานงาน หรือปรึกษาหารือว่า จะเดินแผนการประท้วงอย่างไร
เรื่องนี้เริ่มแสดงผลออกมาชัดเจน เมื่อรัฐบาลประกาศเรียกแกนนำผู้ชุมนุมมาหารือ ซึ่งทางกลุ่มผู้ชุมนุมก็คัดตัวบุคคลที่จะเข้าพูดคุยกับรัฐบาลเรียบร้อย แต่ก่อนจะถึงวันเจรจา แกนนำคนที่ว่านี้ก็ประกาศถอนตัวกลางคัน โดยให้เหตุผลสั้นๆ ว่า ถูกแกนนำคนอื่นที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมขู่ฆ่า
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้การประท้วงรุนแรงจนกลายเป็นจลาจล เพราะแกนนำใครก็แกนนำมัน กลุ่มคนจนก็เลือกทำลายข้าวของของพวกเศรษฐี กลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลก็มุ่งทำลายสถานที่ราชการ ไม่มีการประสานงานกันให้เป็นระบบ ก็เพราะไม่มีใครฟังใครนั่นเอง
ติดตามข่าววันนี้ได้ที่นี่ >> //www.pptvhd36.com/special/ข่าววันนี้