ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายกำหนดให้มีการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 – PM 10 เป็นวาระแห่งชาติ กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลังจึงปรับลดอัตราภาษีรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (Electric Powered Vehicle) ลดลงเหลืออัตราร้อยละ 0 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 จนถึง 31 ธันวาคม 2565 (รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 3 ปี) หลังจากนั้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 2 ตามเดิม
นอกจากนี้ จะปรับลดอัตราภาษีรถยนต์กระบะและรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) หากมีค่าฝุ่น PM ไม่เกิน 0.005 กรัมต่อกิโลเมตร หรือรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้เชื้อเพลิงประเภทไบโอดีเซลไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 เป็นส่วนผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงบี 20 ได้ ตามประเภทเครื่องยนต์
“เพราะการเพิ่มสัดส่วนปริมาณการใช้ไบโอดีเซลในน้ำมันเชื้อเพลิงหรือพลังงานทดแทน ในน้ำมันดีเซลส่งผลให้ปริมาณการปล่อยฝุ่น PM ลดลง”
การลดอัตราภาษีครั้งนี้จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐมีรายได้จากภาษีรถยนต์ราว 1 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มาตรการทางภาษีครั้งนี้ ส่งผลให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถยนต์พัฒนามาตรฐานการปล่อยมลพิษของรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลให้มีประสิทธิภาพในการลดฝุ่น PM ตามมาตรฐานยูโร 5 ได้เร็วยิ่งขึ้นและคาดว่าจะส่งผลให้มีการลดฝุ่น PM ของรถยนต์กระบะและรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ที่ชำระภาษีสรรพสามิตในแต่ละปีลดลงประมาณ 76 ล้านกรัมต่อปี ส่วนในระยะยาวเชื่อว่าจะลดผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนและค่าใช้จ่ายภาครัฐเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลได้
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า มาตรการนี้เป็นมาตรการที่รัฐบาล เล็งเห็นถึงปัญหาค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ จึงนำปัจจัยเรื่องการปล่อยมลพิษฝุ่น PM2.5 เข้ามาเป็นหลักการกำหนดอัตราภาษี ควบคู่ไปกับหลักการปล่อยก๊าซ Co2 ที่มีอยู่เดิม ซึ่งปัจจุบันรถยนต์กระบะ และรถยนต์กระบะ 4 ประตูส่วนใหญ่ มีมาตรฐานค่าการปล่อยมลพิษ ยูโร 4 ที่ปล่อยฝุ่นละออง PM ได้ไม่เกิน 0.025 กรัมต่อกิโลเมตร
"ไทย"พร้อมหรือยังเปลี่ยนรถยนต์เป็นรถยนต์ไฟฟ้า
“ดังนั้นจึงออกมาตรการภาษีเพื่อจูงใจให้เกิดการปรับเป็นมาตรฐาน ยูโร 5 ที่มีอัตราการปล่อยค่า PM ต่ำกว่า ไม่เกิน 0.0005 กรัมต่อกิโลเมตร หรือรถยนต์กระบะที่ใช้น้ำมัน บี20 ประเภทไบโอดีเซล ที่ลดการปล่อยฝุ่น PM ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ โดยปรับลดการจัดเก็บภาษีเป็น 0.5 - 1% จากเดิม 2.5%”
สำหรับทิศทางของการใช้น้ำมัน บี20 น่าจะสามารถเห็นความชัดเจนของค่ายรถยนต์ต่างๆได้ภายในสิ้นปีนี้ เพราะใช้เพียงการเปลี่ยนสายท่อและชิปสมองกลในเครื่องยนต์เล็กน้อยเท่านั้น รวมถึงสถานีจ่ายน้ำมันมองว่าภาคเอกชนน่าจะมีการปรับเพิ่มหัวจ่ายน้ำมันไบโอดีเซลมากขึ้นให้สอดคล้องกับความต้องการใช้งานของประชาชน