ป้าม้อย-ยุพยง คีรีเพ็ชร์ แม่ค้าหาบเร่แผงลอย วัย 54 ปี ที่ตอนนี้ยังคงเข็นรถขายผัดไทและข้าวมันไก่ มาตั้งร้านย่านโพธิ์สามต้น จุดประจำที่ขายมานานกว่า 30 ปี แต่วันนี้เธอกลับต้องขายแบบหลบๆ ซ่อนๆ ตั้งแต่รัฐบาลมีนโยบายจัดระเบียบทางเท้า ทำให้พื้นที่โพธิ์สามต้นที่เธออยู่ เป็นหนึ่งในจุดที่ถูกยกเลิกการขายไปด้วยในปี 2561
เมื่อมีการขอคืนพื้นที่ ป้าม้อย บอกว่าการหาพื้นที่ขายใหม่สำหรับผู้ค้าเก่าไม่ใช่เรื่องง่าย เธอต้องใช้เงินเก็บทั้งชีวิตกว่า 5 แสนมาเปิดร้านใหม่
“ประยุทธ์” ผลักดัน Soft Power จับมือเอกชนส่งเสริม ตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรม
3 กุญแจสำคัญ ถอดบทเรียน Soft Power เกาหลีใต้ถึงไทย
แต่เพราะฐานลูกค้าเดิมขาดหาย ทำเลไม่เอื้อ ทำให้ร้านไปไม่รอด หมดเนื้อหมดตัว เกิดปัญหาหนี้สิน แถมปัญหาสุขภาพรุมเร้า แต่เพราะยังต้องหาเลี้ยงครอบครัว เธอจึงจำเป็นต้องกลับมาขายที่เดิม แม้จะต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะถูกจับในทุกๆ วัน
เรื่องนี้ทางกทม. ชี้แจงว่า หลังมีการจัดระเบียบร้านหาบเร่แผงลอย กทม.ก็ได้จัดสรรพื้นที่ขายใหม่รองรับผู้ค้าที่ได้รับผลกระทบมากถึง 122 แห่ง หรือประมาณ 10,800 แผงค้า แต่กลับมีผู้ประกอบการเข้ามาขายเพียงแค่ 985 ราย หรือไม่ถึง 10 % เท่านั้น ซึ่งทาง กทม.ให้เหตุผลว่าบางทีผู้ค้าอาจจะไปได้พื้นที่ใหม่แล้ว หรือบางส่วนก็กลับไปขายในพื้นที่เดิมที่ตัวเองมีอยู่ หรือเจาะตลาดออนไลน์
ด้านนายเรวัตร ชอบธรรม ประธานเครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เปิดเผยว่า คำชี้แจงของ กทม.ดูสวนทางกับคำบอกเล่าของผู้ค้า เพราะสาเหตุหลักมาจากพื้นที่ที่รัฐจัดหาให้ไม่เอื้อต่อการขาย ทั้งเรื่องทำเลและการจัดการ ทำให้ผู้ค้าเลือกที่จะฝ่าฝืนคำสั่งด้วยความจำเป็น พร้อมทั้งเสนอว่ากทม. ควรจะคืนพื้นที่ขายให้กับร้านค้าหาบเร่ และให้ผู้ค้ามีส่วนร่วมช่วยกันปรับปรุงดูแลพื้นที่ของตัวเองให้เป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อคืนเสน่ห์ให้ทางเท้าไทย
ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีพื้นที่นำร่อง อย่างบริเวณปากซอยอ่อนนุช 70 เขตประเวศ ที่ผู้ค้าร่วมกันจัดการดูแลปรับปรุงพื้นที่กันเอง ทั้งเรื่องของภาพลักษณ์และความสะอาด ตั้งแต่เทปูน ทำเต็นท์ ทำแผงค้า มีพื้นที่ล้างจาน แยกขยะและเศษอาหาร จนสุดท้ายทางเขตเพิ่งเคาะอนุมัติให้กลับมาทำการค้าได้ถูกต้องอีกครั้งเมื่อกลางปี 2564 ที่ผ่านมา โดยผู้ค้าที่ตลาดสะท้อนว่าถ้าภาครัฐเข้ามาส่งเสริมช่วยกันกับผู้ค้า ไม่ว่าที่ไหนก็สามารถพัฒนาให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยไปในทิศทางเดียวกันได้ และน่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและยั่งยืน
มาดูที่ฝั่งนโยบายผู้สมัครผู้ว่ากทม. ต่อประเด็นปัญหาเรื่องนี้กันบ้าง อย่างนายวิโรจน์ เบอร์ 1 เสนอให้มีการจัดระเบียบอย่างเป็นธรรม คำนึงถึงวิถีชีวิตคนกรุง ด้านนายสกลธี เบอร์ 3 เสนอให้ตั้งแผงค้าในพื้นที่ที่เหมาะสม และส่งเสริมผู้ค้ารายได้น้อยให้มีพื้นที่ทำกิน ดร.เอ้ สุชัชวีร์ เบอร์ 4 เสนอนโยบาย ขายได้ขายดี ไม่มีวันหยุด และเทศกิจต้องเป็นมิตรกับผู้ค้า ด้านพล.ต.อ.อัศวิน เบอร์ 6 บอกอยากคืนความเป็นธรรมให้ทั้งผู้ค้าและคนเดิน น.ส. รสนา เบอร์ 7 เสนอจัดทำเลขาย ถูกต้อง สะอาดปลอดภัย ส่วนนายชัชชาติ เบอร์ 8 ชูประเด็นผู้ค้าดูแลกันเอง และกำหนดเอกลักษณ์ให้ร้านค้าหาบเร่ ปิดท้ายด้วย น.ต.ศิธา เบอร์ 11 อยากดันกทม.ให้เป็นเมืองหลวง street food โลก