คนขับรถ” อุทยานแห่งชาติแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ บอกกับทีมข่าวพีพีทีวีว่า ได้เห็นเอกสารจัดจ้างแม่บ้าน 2 คนรับตำแหน่งวิจัยในอุทยานฯแห่งนี้ เพื่อกินเงินเดือนราว 3 หมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งในเอกสารมีชื่อเขาเป็นคนเซ็นจัดจ้าง
สาเหตุที่คนขับรถรายนี้สามารถเซ็นจัดจ้างได้ เป็นเพราะช่วงปี 2562 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการพัสดุของอุทยานฯ มีหน้าที่เซ็นตรวจรับงานจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งส่วนใหญ่งานที่เขาเคยเซ็นผ่านจะเกี่ยวกับโครงสร้างของอุทยานฯ
แฉ! ส่วยอุทยานฯ มี "แมวมอง" เลือกเหยื่อ
แม่บ้านอุทยานฯ แฉยับ เงินปริศนาเข้าทุกเดือน
ซึ่งจะเซ็นเฉพาะเรื่องที่เห็นว่าเหมาะสมเท่านั้น ก่อนที่จะหมดวาระในปี 2563 และมีการเปลี่ยนคนอื่นขึ้นมาเป็นกรรมการพัสดุแทน
แต่ปรากฎว่า หลังมีการร้องเรียนเรื่องการตัดไม้ในอุทยาน แล้วเข้าสู่การตรวจสอบของ ป.ป.ช. ช่วงต้นปี 2565 เขาถูก ป.ป.ช.เรียกสอบ เพราะมีชื่อเป็นคนเซ็นจัดจ้าง “แม่บ้าน” 2 คน สวมรับตำแหน่งนักวิชาการ/นักวิจัย 2 ตำแหน่ง รวม 12 สัญญา ตลอด 1 ปีที่เขาเป็นกรรมการพัสดุ ซึ่งเขายืนยันว่าลายเซ็นที่ปรากฏบนเอกสารทั้ง 12 ฉบับ ไม่ใช่ลายมือของเขาและเขาไม่ได้เป็นคนเซ็นด้วยตัวเอง แม้แต่เอกสารจัดจ้างเหล่านี้ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
คนขับรถรายนี้ เล่าอีกว่า หลังเห็นเอกสารจาก ป.ป.ช. เขากลับไปถามเรื่องนี้กับฝ่ายการเงิน ทำให้ต่อมา “พนักงานราชการฝ่ายบริหารงาน” ที่คุมงานบริหารทั้งด้านบุคคลและการเงินของอุทยานฯ เข้ามาขอโทษ ยอมรับว่าให้เจ้าหน้าที่การเงิน “ปลอมลายเซ็น” เพราะรีบ ซึ่งเขาก็ตั้งคำถามกลับว่า หากรีบ ทำไมจึงมีการเซ็นจัดจ้าง 2 ชื่อนี้ซ้ำๆ ทุกเดือน ตลอด 12 เดือน ที่มีชื่อเขาเป็นกรรมการพัสดุ ซึ่งการที่เขาถูกปลอมลายเซ็นไปตั้งเบิกเงิน ทำให้เขาเสี่ยงติดคุก ทั้งที่ไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วย
นอกจากนี้ทีมข่าวพีพีทีวี ยังได้รับเอกสารชี้แจงของแม่บ้านอุทยานอีกราย ที่ให้การเป็นลายลักษณ์อักษรต่อคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงที่กรมอุทยานฯ แต่งตั้ง วันที่ 17 มีนาคม 2565
ในเอกสาร ระบุว่า เธอมาทำงานในอุทยานฯ ตำแหน่ง “แม่บ้าน” ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2560 - มิถุนายน 2563
โดยตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 “หัวหน้าอุทยานฯ” พร้อม “เจ้าหน้าที่” อีก 1 คน พาไปเปิดบัญชีธนาคาร จากนั้น “เจ้าหน้าที่” ยึดสมุดบัญชีและบัตร ATM ไว้ ส่งให้ “หัวหน้าอุทยานฯ”เก็บ
ต่อมาเธอปฏิบัติงานตามปกติ โดยตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ถึงสิ้นเดือนกันยายน 2561 “เจ้าหน้าที่” ที่เป็นคนยึดสมุดบัญชี จะจ่ายเงินเดือนให้เป็นเงินสด 6,000 - 7,000 บาท ต่อเดือน
แต่ว่าตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2561 เป็นต้นมา “เจ้าหน้าที่” คืนสมุดบัญชีให้ ให้เธอกดเงินเดือนเอง ซึ่งเธอพบว่ามีเงินเข้าเดือนละ 7,500 บาท จนกระทั่งลาออก
หลังมีการสอบสวนเรื่องการตัดไม้ในอุทยาน เดือนกุมภาพันธ์ 2565 เธอไปขอบัญชีเงินเดือนย้อนหลังกับธนาคาร จนพบว่าตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม 2560 ถึงต้นเดือนตุลาคม 2561 มีเงินโอนเข้าบัญชี เดือนละ 32,670 บาท 20 ครั้ง รวมเป็นเงิน 653,400 บาท
ทีมข่าวพีพีทีวี ติดต่ออดีตหัวหน้าอุทยานฯ ที่ถูกอ้างถึงว่ามีส่วนรู้เห็นการทุจริตตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา (9 ม.ค.) ระบุว่า ทราบข่าวที่เจ้าหน้าที่รวมตัวกันร้องสื่อแล้ว และยินดีจะชี้แจงโดยนัดหมายเวลา 13.00 น. ที่สำนักงานที่ จ.ลำปาง
ทีมข่าวก็เดินทางจากเชียงใหม่มาลำปาง ระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง เพื่อให้ทันตามเวลานัดหมาย แต่เมื่อมาถึง กลับไม่สามารถติดต่ออดีตหัวหน้าอุทยานรายนี้ได้อีกเลย จึงเข้าไปสอบถามที่ฝ่ายกฎหมายของสำนักงานฯ ซึ่งอดีตหัวหน้าอุทยาน ถูกย้ายมาเป็นหัวหน้าฝ่ายที่นี่ เจ้าหน้าที่ บอกว่า เห็นหัวหน้าขับรถออกไปตั้งแต่ช่วงเที่ยง ไม่ทราบว่ามีนัดกับผู้สื่อข่าว โดยบอกว่า เป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีการออกตรวจหน่วยต่างๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ไม่ทราบว่าไปที่ไหนและจะกลับมาหรือไม่ รวมถึง เจ้าหน้าที่เองก็ไม่สามารถติดต่อได้ เพราะตั้งแต่เช้าที่หัวหน้าเข้ามาที่ฝ่าย ได้บ่นกับลูกน้องว่า หาโทรศัพท์ไม่เจอ พร้อมยืนยันว่า หากพบหัวหน้าฯ จะติดต่อกลับมาทางผู้สื่อข่าวอีกครั้ง