ใกล้เข้าสู่เดือนแห่งความภาคภูมิใจของชาวสีรุ้ง (Pride Month) ในเดือนมิถุนายนนี้ วันนี้ทีมข่าวพีพีทีวีเลยอยากพากันมาเช็กความคืบหน้าของ “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” เพราะถือเป็นกฎหมายที่หลายคนรอคอย และมีกระแสข่าวเปิดเผยให้เห็นถึงความคืบหน้าในปีนี้เป็นอย่างมาก
จนแม้แต่กระทั่งการจัดกิจกรรม “Bangkok Pride Month Festival 2024” ยังมีธีมของงานเกี่ยวพันกับ “การเฉลิมฉลองความรัก” เพื่อร่วมนับถอยหลังสมรสเท่าเทียมให้ออกเป็นกฎหมายใช้ได้จริงก่อนสิ้นปี 2567 ไปด้วยกัน
ดังนั้นแล้วกฎหมายสมรสเท่าเทียมนี้ถึงไหนแล้ว และมีสาระสำคัญอะไรบ้าง มาดูกัน!
ไทม์ไลน์ “กฎหมายสมรสเท่าเทียม”
- ปี 2555 เริ่มต้นการรณรงค์สมรสเท่าเทียม
- ปี 2556 ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต ฉบับแรกเสร็จสิ้น
- ปี 2562 เกิดการผลักดันให้แก้ไข ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อรองรับการสมรสของผู้มีความหลากหลายทางเพศ
- 18 มิถุนายน 2563 ก้าวไกลยื่นเสนอ ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ต่อสภาฯ
- 8 กรกฏาคม 2563 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการ ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต และ ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่แก้ไขให้สอดคล้องกับร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต
- 25 พฤศจิกายน 2563 ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ฉบับก้าวไกล ถูกบรรจุในระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
- 17 พฤศจิกายน 2564 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 1448 ที่รับรองการสมรสเฉพาะชาย-หญิง ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
- 28 พฤศจิกายน 2564 กลุ่มภาคีสีรุ้งเพื่อการสมรสเท่าเทียม เปิดให้เข้าเสนอชื่อนำเสนอ ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ฉบับประชาชน
- 9 กุมภาพันธ์ 2565 ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ฉบับก้าวไกล เข้าสภาวาระที่ 1
- 29 มีนาคม 2565 คณะรัฐมนตรีมีมติไม่รับ ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ฉบับก้าวไกล เนื่องจากใกล้เคียงกับ ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต และ ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ ครม.เห็นชอบไปแล้ว และครอบคลุมหลายมิติ
- 15 มิถุนายน 2565 ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต และ ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิยช์ ที่เสนอโดย ครม. รวมถึง ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต ฉบับพรรคประชาธิปัตย์ ถูกบรรจุเข้าเข้าสภาฯ
- 1 กันยายน 2566 ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม และ ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต ดังกล่าวถูกปัดตกจากสภา เพราะไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาจาก ครม.ชุดใหม่ ภายใน 60 วันหลังเปิดสภาชุดใหม่
- 21 ธันวาคม 2566 สภารับหลักการร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม จำนวน 4 ฉบับ (ฉบับรัฐบาล ฉบับประชาชน ฉบับพรรคก้าวไกล และฉบับพรรคประชาธิปัตย์) ในวาระที่ 1 และตั้งกรรมาธิการพิจารณาวาระสองโดยใช้ร่าง ครม.เป็นหลัก
- 3 มกราคม 2567 ครม. รับทราบข้อเสนอแนะ กรณีสมรสก่อนวัยอันควร ปรับแก้เกณฑ์อายุเป็น 18 ปี
- 14 มีนาคม 2567 กรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมเสร็จสิ้น
- 27 มีนาคม 2567 สส.เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม วาระที่ 3
- 2 เมษายน 2567 สว.เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม วาระ 1 (ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนนี้)
ขั้นตอนต่อไป ก่อนได้ใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม
กระบวนการต่อไปคือ การพิจารณาในชั้นกรรมธิการวิสามัญ จำนวน 27 คน ซึ่งจะเป็นการพิจารณาเชิงรายละเอียด หลังจากกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแล้วเสร็จ ก็จะเข้าสู่การพิจารณาในวุฒิสภา วาระสอง ลงมติรายมาตรา และ การพิจารณาเห็นชอบในวาระสามต่อไป
ทั้งนี้หากผ่าน “ชั้นวุฒิสภา” ครบทั้งสามวาระแล้ว นั่นหมายความว่าจะสามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
รู้จัก “กฎหมายสมรสเท่าเทียม”
สำหรับ กฎหมายสมรสเท่าเทียมที่เราหมายถึงในปัจจุบัน เป็นชื่อเรียกของ “ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่…) พ.ศ…”
ซึ่งเป็นการแก้ไขกฎหมายตามรัฐธรรมนูญปี 60 ในมาตรา 4 ซึ่งกล่าวถึง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ว่า คนไทยทุกคน ทุกกลุ่มความหลากหลาย จะต้องมีสิทธิเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตามบาทบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวไม่เหมาะสม จึงต้องปรับแก้ไขบางข้อ โดยสรุปดังนี้
- แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ใช้อยู่ ซึ่งรับรองสิทธิการสมรสเฉพาะชายและหญิง ให้รับรองสิทธิสมรสสำหรับบุคคลทั้งสองฝ่าย โดยไม่มีเงื่อนไขเรื่องเพศ
- เปลี่นนเกณฑ์อายุขั้นต่ำในการหมั้นและสมรสจาก 17 ปี เป็น 18 ปีบริบูรณ์แทน เพื่อให้ผู้ที่จะทำการหมั้นหรือสมรส มีอายุพ้นจากความเป็นเด็ก
- ต้องเพิ่มบทบัญญัติขึ้นใหม่จำนวน 1 มาตรา เพื่อกำหนดให้คู่สมรสที่ก่อตั้งครอบครัวตามประมวลกฎหมายฉบับนี้ มีสิทธิ หน้าที่ และสถานะทางกฎหมายตามกฎหมายอื่นที่ได้กำหนดไว้ให้ “สามี ภรรยา” หรือ “สามี ภรรยาในทันที” ซึ่งจะลดภาระให้แก่หน่วยงานต่างๆ ในการทบทวนและแก้ไขกฎหมายที่มีอยู่ในความรับผิดชอบ
โดย ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ฉบับแก้ไขล่าสุดนี้ มีอยู่ด้วยกัน 4 หมวด 68 มาตรา ซึ่งมีข้อกฎหมายที่น่าสนใจ คลิกอ่านตามลิงก์ด้านล่างนี้
ข้อดีของการรับรองสิทธิสมรส โดยไร้เงื่อนไขเรื่องเพศ
การรับรองสิทธิสมรสโดยไม่จำกัดเฉพาะชายและหญิง จะส่งผลให้คู่สมรสมีสิทธิหน้าที่ต่างๆ ตามกฎหมาย เช่น สิทธิในการรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม สิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน เป็นต้น
ทั้งหมดนี้เป็นความคืบหน้าของกฎหมายสมรมเท่าเทียม และหากผ่านมติของชั้นวุฒิสภาครบทั้งสามวาระจนกลายเป็นกฎหมายแล้ว ประเทศไทยจะถือเป็นประเทศที่สามของเอเชีย ต่อจากไต้หวัน และเป็นประเทศแรกในอาเซียนหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม
ขอบคุณข้อมูลจาก : ilaw และ สถาบันปรีดี พนมยงค์
เปิดปฏิทินวันหยุดเดือนมิถุนายน 2567 แนะวิธีลาให้ได้หยุดยาว 4 วัน