จากกรณีที่หลายเพจดังมีการแชร์ข้อมูลโดยอ้างว่า คนของมูลนิธิดังแห่งหนึ่ง มีพฤติกรรมแอบอ้างขายวุฒิการศึกษาปริญญาตรี และเกี่ยวข้องกับการซื้อขายตำแหน่งทางการเมือง จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอยู่ในขณะนี้
ซึ่งเรื่องราวดังกล่าว มาจากเพจดังเพจหนึ่ง ได้เปิดเผยเรื่องราวการแจ้งความเกี่ยวกับประธานมูลนิธิคนหนึ่ง ที่ได้เสนอให้ซื้อวุฒิปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ใน จ.พิษณุโลก และตำแหน่งกรรมาธิการในสภา ในราคาเกือบ 200,000 บาท
โดยจุดเริ่มต้นของทางผู้เสียหาย บอกว่าเคยเข้าไปร้องทุกข์กับมูลนิธิดังกล่าวขอให้ช่วงเหลือด้านคดีที่ถูกสามีทำร้ายร่างกายและฮุบสมบัติ จึงได้มีการปรึกษากับประธานมูลนิธิดังกล่าว ว่าอยากมีตัวตน ยากจะให้สามีรู้สึกเกรงขาม ประธานมูลนิธิดังกล่าวจึงยื่นข้อเสนอให้ซื้อวุฒิการศึกษาแล้วไปยื่นสมัครหรือซื้อตำแหน่งที่รัฐสภา ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ
หลังจากนั้นผู้เสียหายได้โอนเงินเมื่อปลายปี 2566 โดยมีการอ้างว่าจะได้วุฒิการศึกษาภายในเดือน ก.พ. 2567 แต่พอถึงวันนัดยังไม่ได้วุฒิการศึกษาตามที่ตกลง และมีความพยายามบ่ายเบี่ยง จนผู้เสียหายมารู้เรื่องจากคนในมูลนิธิดังกล่าวว่ามีปัญหาเรื่องการขอเงินต่างๆ เลยทำให้ผู้เสียหายเอะใจว่าน่าจะโดนหลอก จึงมีการเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองสกลนคร ไว้เป็นหลักฐานว่าโดนประธานมูลนิธิดังกล่าวหลอกลวงให้เสียทรัพย์เป็นเงินกว่า 200,000 บาท
ซึ่งหลังจากผู้เสียหายเข้าแจ้งความ ก็ทำให้เรื่องดังกล่าวกลายเป็นข่าวที่มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ที่มีหลายคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หนึ่งในนั้นคือ “อาจารย์อ๊อด” หรือ ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ได้เปิดเผยภาพบันทึกประจำวันของผู้เสียหาย รวมถึงเรียกร้องให้อธิบดีของมหาวิทยาลัยที่ถูกพาดพิง ออกมาชี้แจงในกรณีดังกล่าวด้วย นอกจากนั้นยังมีเพจดังอีกหลายเพจพากันเปิดเผยภาพแชตข้อความบทสนทนาระหว่างผู้เสียหายกับ ประธานมูลนิธิดังกล่าวด้วย ซึ่งระบุให้เห็นถึงบทสนาและสลิปโอนเงินซึ่ง ที่คาดว่าเป็นการโอนเงินเพื่อซื้อวุฒิปริญญาและตำแหน่งในสภา
ทั้งนี้หลังจากเรื่องดังกล่าวเริ่มถูกพูดถึงในวงกว้าง น.ส.ชลิดา หรือ “ต้นอ้อ” ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง ได้ออกมาชี้แจงผ่านเพจว่า "กรณีที่มีบางเพจและกลุ่มคนบางกลุ่มเปิดเผยแชทและมีการพาดพิงถึง ต้นอ้อ เป็นหนึ่งในทางเสื่อมเสีย ตลอดจนมีการบิดเบือนเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด ซึ่งอ้อขอยืนยันว่าทางเรามีหลักฐานโต้แย้งข้อกล่าวหาเหล่านั้นทุกเรื่อง และยินดีให้ผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้เสียหายใช้กระบวนการทางกฎหมายดำเนินการ เพื่อนำหลักฐานของทั้ง 2 ฝ่ายมาแสดงในชั้นศาล ไม่ใช่การโพสต์และกล่าวหาลอย ๆ จนนำไปสู่ผลกระทบต่อชื่อเสียงและงานของมูลนิธิเป็นหนึ่ง ที่กำลังดำเนินอยู่ทั้งนี้อ้อต้องกราบขออภัยอย่างสูงหากมีบุคคลที่ 3 ท่านใดที่ต้องได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้นะคะ และต่อจากนี้อ้อยังขอยืนยันว่าจะทำงานช่วยเหลือสังคมต่อไปค่ะ"
นอกจากนั้นยังโพสต์อีกว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของอ้อที่ผิดพลาดไปเพราะรักและหวังดีกับเพื่อน แต่มีการบิดเบือนบางส่วนทำให้อ้อได้รับความเสียหาย เรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นมีที่มาที่ไป มีหลักฐานทุกอย่าง ต้องขอโทษสังคม และคนที่ติดตามอ้อที่ทำให้รู้ผิดหวังในตัวอ้อ เรื่องนี้จะเป็นบทเรียนให้อ้อมากที่สุดในชีวิตและอ้อจะเลือกคบเพื่อน ให้ดีกว่านี้ค่ะ"
ขณะเดียวกันยังได้ชี้แจ้งเพิ่มเติมในกรณีที่มีการพาดพิง นายสมคิด เชื้อคง ว่า "จากกรณีที่มีการปล่อยข่าวว่า มีการซื้อขายตำแหน่งคณะทำงานรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามที่ปรากฎเป็นข่าวนั้น ต้นอ้อขอชี้แจงยืนยันดังนี้ค่ะว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง และไม่มีการโอนเงินซื้อขายตำแหน่งแต่อย่างใด ท่านสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นในเรื่องดังกล่าว แต่กลับถูกพาดพิงจนท่านได้รับความเสียหาย ดังนั้นต้นอ้อได้รวบรวมหลักฐานเพื่อส่งมอบให้ทนายความดำเนินคดีจนถึงที่สุดต่อไปค่ะ ดิฉัน ต้องกราบขออภัยไปยังท่านสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมืองที่ได้รับความเสียหายจากเรื่องนี้ค่ะ"
หลังจากที่ “ต้นอ้อ” ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง ได้ออกมาเคลื่อนไหวแล้ว ก็ปรากฎว่า นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ก็ได้ออกมายืนยันว่า "ตนไม่ทราบเรื่องนี้และไม่รู้จักบุคคลดังกล่าว เป็นหนึ่ง และทีมงานตน ทั้งหมด 10 คนก็ไม่ทราบเรื่องนี้ จึงขอเรียนพี่น้องประชาชนว่าสิ่งที่นำไปแฉนั้นตนไม่ทราบเรื่องและไม่เป็นความจริง"
นอกจากนั้น นายสมคิด เชื้อคง ยังระบุว่าเตรียมที่จะแจ้งความ “ต้นอ้อ” ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง ที่นำชื่อไปแอบอ้าง เพราะเกรงว่าตนจะกลายเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นและอาจจะไปทำกับคนอื่นต่อได้
ซึ่งจากประเด็นดังกล่าว ก็ทำเอาร้อนไปถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ต้องออกมาชี้แจง โดยยืนยันว่า ไม่เคยรับทราบเรื่องนี้ แต่เห็นว่า เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ไม่อยากให้ทำ จึงขอกำชับทุกฝ่าย ให้ตรวจสอบ และหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก พร้อมกันนั้นยังบอกอีกว่า จะขอตรวจเช็คชื่อผู้ติดตามของนายกรัฐมนตรีอีกที ว่ามีคนแปลกปลอมเข้ามาหรือไม่