ยังคงเป็นประเด็นที่จะต้องติดตามกันอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณีนางจตุพร อุบลเลิศ หรือ เจ๊อ้อย เศรษฐีนีชาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีประเด็นเรื่องเงิน 71 ล้านบาทกับ “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ
โดยวันนี้เจ๊อ้อย ได้เข้าให้ปากคำกับตำรวจสอบสวนกลางเป็นรอบที่ 3 คดีที่แจ้งความเอาผิดทนายตั้ม กล่าวหาว่าโกงเงิน 71 ล้าน ส่วนเงิน 39 ล้าน ที่เชื่อว่าอาจมีขบวนการหลอกให้เจ๊อ้อยนั้น มีรายงานว่าตำรวจสืบทราบจนรู้ตัว ตัวละครสำคัญในเรื่องนี้แล้ว
โดยที่มาที่ไปของเงินจำนวน 39 ล้านบาท ที่ก่อนหน้านี้มีข้อมูลว่า เจ๊อ้อย โอนใช้หนี้ให้คนใกล้ชิดทนายตั้มนั้น มีข้อมูลว่า เดิมทีเจ๊อ้อยต้องการจ้างนักร้องชื่อดังชาวจีน "เฉินคุน" มาแสดง ซึ่งทนายตั้มรับอาสาดำเนินการให้ จากนั้นก็อ้างว่าให้คนสนิท เป็นสามีภรรยาชื่อ นายนุ และนางสาวสา โอนบิตคอยน์มูลค่า 39 ล้านจ่ายเป็นค่าตัว เนื่องจากนักร้องดังคนนี้รับเฉพาะบิตคอยน์
ก่อนจะอ้างว่า หลังโอนก็โดนแก๊งหลอกลวงทางออนไลน์ หลอกเอาบิตคอยน์ไป ทนายตั้ม จึงพานายนุและนางสาวสา ไปหาเจ๊อ้อย ให้ช่วยโอนเงินคืนให้ เจ๊อ้อย จึงเขียนเช็คให้ 39 ล้านบาท ซึ่งมีข้อมูลว่า นายนุนั้น มีความเชี่ยวชาญเรื่องคริปโตและเงิน 39 ล้านที่โอนไปบัญชีปลายทางเป็นของนางสาวสา ซึ่งเป็นภรรยาของนายนุเอง ขณะที่นางสาวสา ก็สนิทสนมกับคนใกล้ชิดทนายคนดัง
ซึ่งขณะนี้ตำรวจมีข้อมูลอยู่ในมือแล้ว โดยวันนี้เจ๊อ้อยได้เข้าให้ข้อมูลกับตำรวจสอบสวนกลางอีกรอบ หลังจากให้ปากคำมาแล้ว 2 ครั้ง เนื่องจากคดีมีรายละเอียดค่อนข้างมาก
ซึ่งคดีเจ๊อ้อย ถูกโกงเงิน 71 ล้าน นั้นถือเป็นคดีหลัก แต่กรณีเงิน 39 ล้าน และเงินก้อนอื่นๆ ทั้งเงินค่าออกแบบโรงแรม 9 ล้าน เงินค่าออกแบบบ้านสามี 3 ล้าน และเงินซื้อรถเบนซ์ 13 ล้าน ที่โดนฟันส่วนต่างราคาไปประมาณ 5 ล้าน ในแง่ข้อกฎหมายการที่เหยื่อคนเดียวโดนโกงซ้ำๆ เป็นความผิดตามมาตรา 3 (18) แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เรียกว่าฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ คือการกระทำซ้ำๆกันมากกว่า 1 ครั้ง กระทำผิดเป็นสันดาน มีลักษณะที่จะกระทำเช่นนั้นต่อๆไป นี่จึงไม่ใช่แค่คดีฉ้อโกง แต่เข้าข่ายเป็นคดีฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานสอบสวนออกหมายจับได้ทันทีไม่ต้องมีหมายเรียก และ ปปง.จะมีบทบาทเข้ามาอายัดทรัพย์สิน ตรวจสอบทรัพย์สินได้