จากกรณีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ เจ๊อ้อย เศรษฐีนี แจ้งความกล่าวโทษนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม หลอกลวงเงินจำนวน 71 ล้านบาท นั้น
ล่าสุดวันนี้ 5 พ.ย. 2567 ทนายตั้ม เดินทางมาที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้ปากคำในคดีดังกล่าว พร้อมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า กรณีดังกล่าวจะไปเป็นเรื่องฉ้อโกงอย่างไร เมื่อก่อนตนเป็นน้องรักเจ๊อ้อย ก็ให้ตนทำทุกโครงการ และ ตนก็ทำใบเสนอราคา ส่งมอบตามที่เจ๊อ้อย ต้องการทุกอย่าง
แต่ตอนนี้ไม่รักแล้ว ก็จะดึงเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามา ถ้าจะเข้าเรื่องฉ้อโกงตนก็ต้องมีเจตนาจะหลอกเขา แต่ตนส่งงานตามที่เขาต้องการหมดทุกอย่าง
ส่วนเรื่องรถเบนซ์ ที่เจ๊อ้อย โอนเงินมา 13 ล้านบาท มาให้ซื้อ นั้น ทุกคนก็สามารถค้นหาราคาได้ว่ารถเบนซ์ G-400 ราคา ในท้องตลาดอยู่ที่ราคาเท่าไหร่ ราคา 8-9 ล้านบาทนั้นไม่มีหรอก ส่วนเรื่องไฟแนนซ์ ให้ เจ๊อ้อย เอาเอกสารจดทะเบียนมาก็จะเห็นเลยว่าเป็นชื่อของน.ส.จตุพร ฉะนั้นตนจะเอารถไปเข้าไฟแนนซ์ได้อย่างไร ตนเป็นคนรักรถจะเอาไปให้จีนเทาเช่าได้อย่างไร และตนครองครองรถคันดังกล่าวได้ไม่กี่เดือน และ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรที่จะต้องเอารถไปให้จีนเทาเช่า
อัจฉริยะแฉ! ตร.หิ้วสอบคนใกล้ชิดทนายตั้มตัวย่อ "บ" รับสารภาพหมดเปลือก!
ส่วนเรื่องเงิน 39 ล้านบาท นั้น ตรงข้ามกับความเป็นจริงกับข่าวที่ออกตามสื่อต่างๆ และ เรื่องนี้ตนพยายามพูดเพื่อไม่ให้ เจ๊อ้อย เกิดความเสียหาย และ เรื่องเงิน 39 ล้านบาท เจ๊อ้อย ได้ไปคุยกับสแกมเมอร์ ที่อ้างตัวว่าเป็นดาราจีน โดยคุยกันมาเป็นปีแล้ว เคยมีการโอนเงินจากฝรั่งเศส แต่ตนจำไม่ได้ว่ามีการโอนหรือไม่ หรือ ทางฝรั่งเศสไม่โอนเงินให้ แต่เจ๊อ้อย มาบอกว่า เขาคุยกับดาราจีนคนหนึ่ง และ ต้องการให้ดาราคนดังกล่าวเดินทางมาประเทศไทย และ อยากให้โอนเงินไปให้ โดยเป็นการโอนเงินบิทคอยน์ ซึ่งตนไม่มีความรู้ โอนไม่เป็น ก็เลยให้น้องที่ชื่อ นุ ไปโอนให้ ครั้งแรกดาราจีน บอกว่าจะมาไทย แต่ยังมาไม่ได้จะต้องโอนเงินให้บอดี้การ์ด ซึ่งก็ทำให้ตนรู้สึกตะงิดใจแล้ว จึงตั้งข้อสังเกตุว่าอาจเป็นแสกมเมอร์ ตนจึงไปคุยกับเลขาของเจ๊อ้อย ว่า อาจจะไม่จริงเพราะโอนเงินรอบแรกเขาก็เดินทางมาตามที่รับปากแล้ว จากนั้น ก็มีการพูดคุยกันจนตนต้องให้น้องโอนไปอีกรอบแต่จำยอดไม่ได้ว่าเท่าไหร่
เมื่อโอนรอบสองไปแล้วบุคคลที่แอบอ้างว่าเป็นดาราจีนก็ไม่เดินทางมาไทย ตนก็เริ่มสืบจนทราบชื่อ เฉินคุน ตนก็เริ่มถามเจ๊อ้อยว่า ไปรู้จักคนนี้ได้อย่างไร เจ๊อ้อย บอกว่า ดาราจีนไปกดไลน์ในไอจี จากนั้นก็ทักเข้าไปหาเจ๊อ้อย อ้างว่าตนเองชื่อเฉินคุน ตนก็บอกไปว่ามันไม่น่าจะใช่ ตนก็เลยเช็กไปทางจีน แต่ก็เช็กไม่ได้ จนต้องไปขอคอนแทคกับบุคคลท่านหนึ่งจึงทราบว่า ดาราจีนชื่อ เฉินคุน ไม่เคยพูดคุยกับแฟนคลับแบบนี้ และไม่มีการให้แฟนคลับโอนเงินแบบนี้ และ ตนก็ทำทุกอย่างให้เจ๊อ้อยรู้ว่า ดาราที่เจ๊อ้อย คุยด้วยนั้นเป็นสแกมเมอร์ แต่เจ๊อ้อย ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี จะให้โอนเงินไปให้อีก 5 ล้านบาท ตนจึงบอกไปว่าจะไม่ขอยุ่งด้วยแล้วเพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่า มันเป็นสแกมเมอร์
จากนั้นมีงานที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง เจ๊อ้อย ก็เดินทางไป และ นุก็ไปร่วมงานด้วย จากนั้นทั้ง 2 คนก็คุยติดต่อกันซึ่งตนไม่รู้ว่าพวกเขาคุยกันเรื่องอะไรไม่อยากยุ่งเรื่องนี้ เพราะเจ๊อ้อยพูดว่า “มันเป็นเงินของพี่ พี่จะโอนให้ใครก็เป็นเงินของพี่” ตอนนั้นตนกับเลขาเจ๊อ้อย ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ท้ายสุดก็ไปไหว้วาน นุ ให้จัดการให้ ซึ่งงตนคิดว่ามีการโอนไปหลายครั้ง และไม่รู้ว่าการโอนหลายครั้งจะถูกระงับบัญชี หรือ ถูกแฮกข้อมูลไป และตนเป็นคนบอกเองว่าจะต้องไปแจ้งความ จากนั้น ก็มีการแจ้งความไว้ ข้อเท็จจริงก็มีแค่นี้ แต่มีการไปสร้างเรื่องเชื่อมโยงกลุ่มจีนเทา ตนเป็นทนายความมีหลักฐานอ้างอิงได้หมด
“จริงๆแล้วผมไม่ต้องมาก่อน อยากรอหมายจากตำรวจเพราะรู้ว่าอย่างไรก็มีเจ้าทุกข์ ตำรวจก็ต้องเรียกผมเพราะเป็นผู้ต้องหา แต่วันนี้ตำรวจเล่นไปที่บ้านและใช้วิธีการเชิญตัวคล้ายๆกับการอุ้ม จนพยานต่างๆเกิดความไม่สบายใจ มีคนบอกว่าผมไปมาเลเซีย ซึ่งบอกเลยว่า ผมไม่ได้ไปไหน บ้านผมอยู่นี่ เงินในบัญชีก็ไม่เคยได้เอาออกผมจะอยู่ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง และผมก็มั่นใจว่าทุกโครงการที่ทำก็ส่งมอบหมดจะมาบอกว่าผมฉ้อโกงได้อย่างไร ตอนแรกรักให้ผมทำทุกอย่าง ทุกโครงการ แต่พอหมดรักแล้วมันก็เกิดเรื่องอย่างนี้ ” ทนายตั้ม ระบุ
ทนายตั้ม ตั้งข้อสังเกตุว่า ตำรวจควรสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องเงิน 71 ล้านบาท การพูดอะไรต่างๆตรงกับหลักฐานหรือไม่ และที่ตำรวจเรียกเจ๊อ้อย มาสอบปากคำในหลายๆครั้งเพราะคำให้การไม่ตรงกันใช่หรือไม่ แล้วก็ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้ใช่กองปราบเป็นเครื่องมือ
เมื่อถามว่ามีหลักฐานการโอนเงินพร้อมยืนยันกับตำรวจหรือไม่ ทนายตั้ม กล่าวว่า ผมพร้อมอยู่แล้ว รอนานมากแล้วด้วย ใครจะพูดอะไรก็ตาม แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์มันมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นแชทไลน์
แต่วันนี้ทางตำรวจก็ไปหาตนถึงบ้าน จึงฝากตำรวจนิดหนึ่ง การที่ไปเอาตัวพยานไปโดยที่ไม่มีหมาย มันไม่ถูกต้อง เอาหมายไป เขาก็ยินยอมไปทุกคน หมายมาที่ตน ตนก็ยินยอม
เมื่อถามว่า ภาพที่ไปเที่ยว กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เจ๊อ้อยเป็นคนจ่ายทั้งหมด หรือไม่ ทนายตั้ม กล่าวว่า “ใช่ครับ ถ้าใครไปย้อนบทสัมภาษณ์ตอนที่ผมโดนทัวร์ของคุณชูวิทย์ ตอนนั้นพี่อ้อยเป็นคนมาบอกเองว่าผมไม่ได้ทำธุรกิจสีเทา การเดินทางนั่ง Business Class ไปอยู่ที่โน้นเขาออกให้หมด”
“เงิน 71 ล้านบาทผมอาจใช้คำกฎหมายว่าเป็นเสน่หา แต่ไม่ใช่เสน่หาแบบคนรักกัน แต่เสน่หาในที่นี้เป็นคำกฎหมาย หมายถึง การให้โดยไม่มีข้อผูกพันธ์”