เปิดกลเม็ด “สามารถ” ทำยังไงให้เหยื่อยอมจ่ายเงินแม้ไม่ได้ทำอะไรผิด?

โดย PPTV Online

เผยแพร่

หนึ่งในเหยื่อ “สามารถ” ออกมาเปิดใจ ถึงขั้นตอนและกลวิธีที่อีกฝ่ายใช้ในการกรรโชกทรัพย์ไป 5 แสนบาท

หลังจาก “บิ๊กเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้เปิดเผยความคืบหน้าในการตรวจสอบเส้นทางการเงินในบัญชีของ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ แล้วพบเส้นเงินประมาณ 4-5 แสนบาทที่เข้าข่ายการกรรโชกทรัพย์นั้น

ล่าสุด ทาง “คุณหน่อง” ผู้เสียหายจากเส้นเงินดังกล่าว ได้มาเปิดใจกับ รายการ เข้มข่าวเย็น ช่วง Exclusive Talk คุยข้ามช็อต ทางช่อง PPTV HD 36 วันที่ 3 ธ.ค. 67 ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น รวมถึงมาตอบคำถามสำคัญว่า ทำไมจึงกลายเป็นเหยื่อได้

เปิดกลเม็ด “สามารถ” ทำยังไงให้เหยื่อยอมจ่ายเงินแม้ไม่ได้ทำอะไรผิด? ช่างภาพพีพีทีวี
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ

ยัดความกลัว สร้างความน่าเชื่อถือ

คุณหน่องเล่าว่า ตนทำธุรกิจเกี่ยวกับปุ๋ย แล้วมีโครงการที่เรียกว่า “ปุ๋ยแบ่งจ่าย” ซึ่งมีลักษณะคือสมมติลูกค้าสั่ง 100 กระสอบ สามารถจ่าย 50 กระสอบได้ก่อน รอเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วค่อยจ่าย ซึ่งโครงการนี้ครอบคลุมทั้งปุ๋ย ปุ๋ยน้ำ สารปรับปรุงดิน ฮอร์โมนเสริม ซึ่งทุกอย่างจดแจ้งถูกต้องเรียบร้อย

แต่ปัญหาเกิดในเดือน พ.ค. 2566 เพราะในโบรชัวร์โฆษณาโครงการปุ๋ยแบ่งจ่ายของตนมีการแยกหน้า แยกผลิตภัณฑ์ ทำให้ในหน้าโบรชัวร์ที่เป็นสารปรับปรุงดินมีหัวระบุว่าเป็นปุ๋ยแบ่งจ่าย

“พอดีเรามีเบอร์โทรศัพท์มีไลน์กัน ช่วงต้นเดือน พ.ค. 66 เขาก็ทักมา ส่งหน้าโบรชัวร์มาให้ดู ถามว่าสารปรุงดินเอามาขายเป้นปุ๋ยได้ยังไง เขาบอกว่าเราโฆษณาเกินจริง เราก็บอกเขาว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ต้องดูทุกแผ่นทุกหน้าพร้อมกัน แล้วจะเห็นว่ามันเป็นโครงการปุ๋ยแบ่งจ่าย แต่เขาไม่เชื่อ” คุณหน่องเล่า

คุณหน่องเสริมว่า “เราพยายามอธิบายแล้วว่า ภาพที่ส่งมามันไม่ใช่ทั้งหมดนะ อันนี้คุณเอาแค่ที่เข้าใจผิดส่งมา เวลาเสนอเราชัดเจนว่าตัวไหนปุ๋ย ตัวไหนสารปรับปรุงดิน และเรามีใบอนุญาตหมด แต่ชื่อโครงการเรามีคำว่าปุ๋ย แต่ในรายละเอียดมีหมด แค่ชื่อโครงการเท่านั้นที่อาจเข้าใจผิด เขาก็ยืนยันว่ามันผิด ถือว่าโฆษณาเกินจริง เราเลยขอคำปรึกษา แล้วเขาก็บอกมาว่าต้องเสียค่าดูแล”

วิธีกินแอปเปิลให้ได้ประโยชน์สูงสุด สารพฤกษเคมี ช่วยต้านอนุมูลอิสระด้วย

คุณหน่องกล่าวว่า “ตอนแรกคุยกันเขาขอมาเดือนละ 5 หมื่นบาท เราต่อรองขอเหลือ 2 หมื่นบาท สุดท้ายเขาลดให้เหลือเดือนละ 3 หมื่นบาท จ่ายมาแล้ว 15 เดือน จ่ายทุกเดือน ... มีงวดสุดท้ายเมื่อเดือน ก.ค. 2567 แบ่งจ่าย 2 งวด งวดหนึ่ง 2 หมื่นบาท อีกงวด 1 หมื่นบาท”

เมื่อถามคุณหน่องว่า ทำไมต้องจ่าย เพราะแค่แก้ไขโบรชัวร์ไม่ให้เข้าใจผิดก็น่าจะโอเคแล้ว คุณหน่องตอบว่า ส่วนที่ผิดพลาดได้ดำเนินการแก้ไขแล้ว แต่ทางนายสามารถอ้างว่า ความผิดเราสำเร็จไปแล้ว ยังไงก็ถือว่ามีความผิด “เราเองด้วยความที่เขาพูดมาแบบนี้ ก็มีความกลัว ก็เลยยอมจ่าย”

คุณหน่องบอกว่า ขอให้สังคมเข้าใจว่า คนเราเวลาทำธุรกิจ มีการประชาสัมพันธ์เยอะ ถ้าเกิดปัญหา ถ้ากลายเป็นข่าว มีผลกระทบแน่ ไม่ต้องรอพิสูจน์เพราะแค่มีข่าวก็กระทบแล้ว “ในมุมผมนะ เขาบอกว่าเขาดูแลกรมวิชาการเกษตร ดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เขาจะพูดเสมอ ทำให้เราเกิดความกลัว”

นอกจากนี้ ด้วยความที่มีไลน์กันและกัน ทำให้นายสามารถมักส่งผลงานหรือภารกิจการทำงานของตัวเองมาให้ดูอยู่เสมอ ทำให้มีความน่าเชื่อถือว่าน่าจะมีตำแหน่งอำนาจหน้าที่ตามที่กล่าวอ้างจริง

คุณหน่องยังกล่าวถึงเรื่องที่ตนกล้าออกมาพูดเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนว่า ส่วนตัวกลัวมีปัญหาเหมือนกัน แต่มองว่า อยากให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในเส้นเงินนึกถึงความไม่ถูกต้อง เข้าใจว่าคนที่ธุรกิจสีเทาสีดำอาจไม่ออกมา แต่คนที่ผิดแค่เล็กน้อยแล้วปรับปรุงแก้ไขได้ แล้วโดนรังแก อยากให้ออกมา

“ของผมแค่ 5 แสนเอง ยังเหลืออีกตั้งเกือบ 100 ล้าน อยากเชิญชวนให้ออกมา อย่าไปยอม ส่วนที่ผิดอะไรก็แก้ไข บางคนไม่ใช่ธุรกิจที่ทำมาเพื่อหลอกลวงนี่” คุณหน่องบอก

ด้าน “เคนโด้” เกรียงไกรมาศ พจนสุนทร ช่วยเสริมว่า ถ้าถามว่าทำไมนักธุรกิจหลายคนยอมจ่าย ขอให้สังคมเข้าใจว่า คนที่โทรมาหาเป็นคนมีตำแหน่ง คนที่กำลังเริ่มทำธุรกิจเขาไม่อยากมีปัญหา เขามีความกลัว อยู่ดี ๆ มายัดความผิด ถ้าเป็นคนที่เรื่มธุรกิจยังไงก็คงจ่ายเพื่อเลี่ยงปัญหา

“พวกนี้ไม่ได้ทำกับแค่พี่หน่อง แต่จะพยายามหาคนที่ทำธุรกิจเครือข่าย หรือคนนที่เพิ่งเริมทำธุรกิจ เทวดาพวกนี้ชอบทำแบบนี้ คือเข้าไปขู่ว่า ถ้าไม่ให้เงิน ธุรกิจไปต่อไม่ได้นะด้วยเหตุผลนู่นนี่ ถ้าเป็นเรามาโดนยัดความผิดแบบนี้เราก็จำใจจ่าย” คุณเคนโด้กล่าว

เขาเสริมว่า “วิธีการของเขาง่ายมาก คือเขาจะบอกว่ามีผู้เสียหายที่ไปรวบรวมมาได้ มากดดันธุรกิจต่าง ๆ บอกว่าถ้าไม่ให้เงินจะเอาผู้เสียหายไปออกรายการนู่นนี่ จะไปแจ้งความดำเนินคดี ธุรกิจก็ต้องจ่ายให้คนกลาง คือนักร้องนักตบทรัพย์ทั้งหลาย แล้วพวกนี้ก็จะเอาเงินไปให้ผู้เสียหายส่วนหนึ่ง ที่เหลือหักหัวคิวเข้าตัวเอง หลังจากนั้นจะไปเข้าพวกกับธุรกิจนั้น ๆ อ้างว่าจะคอยให้คำปรึกษา แล้วเรียกเอาเงินอีกเด้งหนึ่ง”

ขณะที่คุณแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม บอกว่า นายสามารถพยายามแสดงตัวว่ามีความรู้ด้านกฎหมาย เส้นเงิน 100 ล้านที่ตรวจเจออาจมีหลายเคสที่มีลักษณะเดียวกัน เชื่อว่าตรวจไปเรื่อย ๆ จะเจอ

“หลังโควิด-19 มีบริษัทคล้ายขายตรงเกิดใหม่ประมาณ 30 กว่าแห่ง ด้วยช่วงเวลาที่อาจจะมีความเป็นไปได้ มันเยอะนะ คนที่ไม่เข้าใจกฎหมาย มันมีความหมิ่นเหม่ ก็อาจเป็นช่องโหว่ให้คนที่ทำตัวว่ามีความรู้ มีอำนาจ มีเส้นสายราชการ เข้ามาฉกฉวยผลประโยชน์” คุณแทนคุณกล่าว

ประธานชมรมสันติประชาธรรมกล่าวว่า “คนพวกนี้อาศัยเครดิต ถ้าเครดิตพังก็จบ แต่คนที่ทำธุรกิจเขาไม่อยากถูกร้องก็ยอมจ่าย”

ปริศนารถสามารถแต่ชื่อเจ้าของไม่ใช่สามารถ?

คุณเคนโด้และคุณแทนคุณยังได้กล่าวถึงพิรุธที่พบจากการยึดรถยนต์ของนายสามารถ

คุณเคนโด้บอกว่า รถของนายสามารถที่ยึดมาไม่ใช่ของนายสามารถ จากแหล่งข้อมูล นายสามารถมีรถ 5 คัน แต่ 4 คันหาไม่เจอ คันที่ยึดมาได้คือ “อัลพาร์ด” ซึ่งในเอกสารซ่อมรถ ปรากฏว่าชื่อผู้ที่เป็นเจ้าของรถคือบริษัทแห่งหนึ่ง

“คำถามคือ จะเป็นชื่อบริษัทได้ยังไง ต้องเป็นชื่อสามารถสิ ทำให้คืดว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่สามารถจะไปเป็นเทวดาให้บริษัทนี้”

สำหรับบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทที่ขายซิม ตู้เติมเงิน ซึ่งได้ใบอนุญาตจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้สามาถขายซิมได้ ซิมของบริษัทนี้ใส่ในมือถือใช้งานได้ถูกต้อง

แต่มีข้อห้ามหนึ่งคือ ห้ามนำซิมไปขายตรงแบบ MLM หรือไปสร้างเครือข่าย ต้องขายให้ผู้ซื้อโดยตรงเลย ปรากฏว่าคำสั่งห้ามออกมาช่วงเดือน ก.ค. แต่บริษัทนี้ยังทำแบบขายตรงสร้างเครือข่ายมาได้จนถึงปัจจุบัน

“เขาทำขายตรง MLM อ้างว่าจ่ายผลตอบแทน 300% ธุริจบ้าบออะไรได้ 300% เป็นลักษณะลงทุน มีค่าแนะนำ 18% สมมติชวนใครมาลงทุนสำเร็จได้เลย 18% แล้วมีป้ายโฆษณาด้วยว่า ลงทุนสูงสุด 5 ล้านบาท อีก 500 วันได้ 15 ล้านบาท ... ตรงนี้อยากให้บริษัทออกมาชี้แจง ว่าทำธุรกิจขายซิมหรือระดมทุน หรือเครือข่าย หรือขายตรง” คุณเคนโด้กล่าว

รวมถึงเรื่องของรถก็ต้องออกมาชี้แจงให้ชัดว่า บริษัทให้รถนายสามารถทำไม เป็นการให้โดยเสน่หาหรือมีธุรกรรมเส้นเงินที่สามารถเชื่อมโยงได้หรือไม่อย่างไร

ด้านคุณแทนคุณบอกว่า ถ้ามองในแง่บวก อาจมองว่าบริษัทหรือนายทุนต้องการช่วยดูแลนักการเมืองที่มีความสามารถ เขาอาจอยากสนับสนุน แต่ถ้ามองในด้านลบ คือ ไปรีดไถเขามาหรือเปล่า หรือดีลอะไรมา หรือเจออะไรบางอย่างเลยจะช่วยกลบเกลื่อนแต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน

“แต่ในความจริงไม่ว่าจะด้านบวกหรือด้านลบก็ให้ของใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้ เพราะเกิน 3 พัน อาจเข้าข่ายรับประโยชน์อื่นใด ยิ่งถ้ารับมาในช่วงที่ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ยิ่งผิด ยิ่งถ้ามีผลประโยชน์ทับซ้อน รับของเพื่อช่วยเหลือ ผิดเต็ม ๆ” ประธานชมรมสันติประชาธรรมบอก

คุณแทนคุณบอกอีกว่า มีคนให้ข้อมูลมาว่า รถอีก 4 คันที่หายไปนั้น เป็นรถตู้ 1 คัน รถจากัวร์ 1 คัน และมินิคูเปรอร์ 2 คัน ซึ่งบางคันชื่อเจ้าของไม่ใช่นายสามารถ เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบ

นอกจากนี้ ถ้าพบว่าเป็นรถที่มีคนเอามาให้ เอามาให้ในห้วงเวลาที่เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีหรือไม่ ถ้าใช่ เรื่องอาจไปถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งจะเป็นเรื่องเรื่องใหญ่ ต้องไปดูว่ารายการทรัพย์สินที่เคยยื่นไว้มีรถเหล่านี้หรือไม่ ช่วงนั้นมีอะไรบ้าง ยืมมาหรือเปล่า

“เรื่องจะบอกว่ายืมมา นาฬิกาอาจจะได้ แต่รถ ถ้าไปสัมพันธ์กับธุรกรรมอำพรางใด ๆ อาจโยงกันได้ ถ้าร้ายกว่านั้น มีสิ่งที่ไม่ถูกกฎหมาย ก็เรื่องใหญ่” คุณแทนคุณกล่าว

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

PPTVHD36

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ