ทำความเข้าใจ 5 สิทธิพื้นฐาน หลังกฎหมาย "สมรสเท่าเทียม" ใช้บังคับ

โดย PPTV Online

เผยแพร่

ไม่ใช่มีแค่จดทะเบียนสมรส! อ่านรายละเอียด 5 สิทธิพื้นฐาน หลังกฎหมาย "สมรสเท่าเทียม" มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่สิทธิการหมั้นจนถึงหย่าร้างมีอะไรบ้าง

สำนักงานกิจการยุติธรรม  เผยแพร่ข้อมูลความรู้ 5 เรื่องพื้นฐานที่จะมีผลใช้บังคับตามกฎหมายสมรสเท่าเทียม ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2568 ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลหลากหลายทางเพศ สามารถมีสิทธิตามกฎหมาย ดังนี้

สิทธิในการหมั้น

กฎหมายสมรสเท่าเทียมกำหนดว่า “บุคคลทั้งสองฝ่าย” หมั้นได้ ต้องมี อายุ 18 ปี บริบูรณ์แล้ว

  • การหมั้นจะสมบูรณ์ เมื่อ “ผู้หมั้น” ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินที่เป็นของหมั้นให้ “ผู้รับหมั้น” เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกัน

คอนเทนต์แนะนำ
ประเทศที่มี “สมรสเท่าเทียม” คือที่ไหนบ้าง? พบไทยเป็นชาติที่ 38 ของโลก
จดทะเบียนสมรสเท่าเทียม เตรียความพร้อมอย่างไร ต้องใช้อะไรบ้าง เช็กที่นี่

 

คู่รัก สมรสเท่าเทียม ช่างภาพพีพีทีวี
ทำความเข้าใจ 5 สิทธิพื้นฐาน หลังกฎหมาย "สมรสเท่าเทียม" ใช้บังคับ

  • “ของหมั้น” ตกเป็นสิทธิของผู้รับหมั้น 
  • กรณีฝ่ายผู้รับหมั้น “ผิดสัญญาหมั้น” ให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายผู้หมั้น (ตามกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้)

เมื่อมีการหมั้นแล้ว ฝ่ายใด “ผิดสัญญาหมั้น” ต้องรับผิดชดใช้ค่าทดแทน โดยต้องยื่นเรื่องให้ศาลชี้ขาด

  1. ค่าทดแทนความเสียหายต่อร่างกายหรือชื่อเสียงของผู้หมั้นหรือผู้รับหมั้น
  2. ค่าทดแทนความเสียหายจากการที่คู่หมั้น บิดามารดา หรือบุคคลที่กระทำในฐานะเช่นเดียวกับบิดา มารดาที่ใช้จ่ายหรือตกเป็นลูกหนี้ในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและสมควร
  3. ค่าทดแทนความเสียหายจากการที่คู่หมั้นจัดการทรัพย์สิน / อาชีพ / ทางทำมาหาได้ของตน โดยสมควรเพราะคาดหมายว่าจะได้สมรส

ทั้งนี้ ถ้ามีเหตุสำคัญเกิดขึ้นกับผู้รับหมั้น ทำให้ผู้หมั้นไม่สมควรสมรสด้วย (ตัวอย่างเช่น รู้ความจริงหลังหมั้นว่าเป็นโรคร้ายแรงทางเพศฯ) ผู้หมั้นมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นและขอคืนของหมั้นได้

ถ้ามีเหตุสำคัญเกิดขึ้นกับผู้หมั้น ทำให้ผู้รับหมั้นไม่สมควรสมรสด้วย ผู้รับหมั้น มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นและไม่ต้องคืนของหมั้น

กรณี คู่หมั้นตายก่อนสมรส อีกฝ่ายจะเรียกร้องค่าทดแทนไม่ได้ส่วนของหมั้นหรือสินสอด ไม่ต้องคืน

คู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนได้

  1. ค่าทดแทนจากผู้ร่วมประเวณีหรือผู้ที่ทำให้คู่หมั้นของตนสนองความใคร่ โดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้น (ต้องบอกเลิกสัญญาหมั้น)
  2. ค่าทดแทนจากผู้ข่มขืนกระทำชำเราหรือพยายามข่มขืนฯ คู่หมั้นของตน โดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้น (ไม่ต้องบอกเลิกสัญญาหมั้น)

การเรียกร้องค่าทดแทน ต้องทำภายในระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ ถึงการกระทำของผู้อื่น หรือรู้ตัวผู้จะใช้ค่าทดแทน แต่ต้องไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ผู้อื่นได้กระทำการดังกล่าว

จดทะเบียนสมรส สมรสเท่าเทียม ช่างภาพพีพีทีวี
ทำความเข้าใจ 5 สิทธิพื้นฐาน หลังกฎหมาย "สมรสเท่าเทียม" ใช้บังคับ

สิทธิในการจดทะเบียนสมรส

“บุคคลทั้งสองฝ่าย” สมรสได้ ต้องมี อายุ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว (แต่ในกรณีมีเหตุสมควร ศาลอาจอนุญาตให้สมรสก่อนได้)

การสมรสหรือการแต่งงาน

  • บุคคลทั้งสองต้อง “ยินยอม” เป็นคู่สมรสกันและต้องแสดงการยินยอม โดย “เปิดเผย” ต่อหน้านายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมไว้ (จดทะเบียนสมรส)
  • เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษที่ “จดทะเบียนสมรสต่อนายทะเบียนไม่ได้” เพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในอันตรายใกล้ความตาย / ภาวะรบ / สงคราม เป็นต้น

ให้บุคคลทั้งสอง แสดงเจตนาจะสมรสกันต่อหน้าบุคคลที่บรรลุนิติภาวะที่อยู่ ณ ที่นั้น แล้วให้บุคคลดังกล่าว จดแจ้งการแสดงเจตนาขอสมรสของบุคคลทั้งสองไว้เป็นหลักฐาน

และต่อมาให้บุคคลทั้งสองจดทะเบียนสมรสกันภายใน 90 วันนับแต่วันที่อาจจดทะเบียนสมรสต่อนายทะเบียนได้ โดยแสดงหลักฐานและพฤติการณ์พิเศษไว้ในทะเบียนสมรส

บุคคลที่สมรสไม่ได้

  • บุคคลวิกลจริต (เช่น จิตผิดปกติ, บ้า) หรือไร้ความสามารถ (ไม่สามารถจัดการตนเองได้)
  • บุคคลสองคนที่เป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมา
  • เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดา
  • บุคคลจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้ (สมรสซ้อนไม่ได้) 

สินสอด เป็นทรัพย์สินของฝ่ายผู้หมั้นให้แก่บิดามารดา / ผู้รับบุตรบุญธรรม / ผู้ปกครอง ของฝ่ายผู้รับหมั้น เพื่อตอบแทนที่ยอมสมรส

กรณีไม่มีการสมรส เพราะมีเหตุสำคัญเกิดกับผู้รับหมั้น หรือมีพฤติการณ์ที่ผู้รับหมั้นต้องรับผิดชอบ จนทำให้ผู้หมั้นไม่สมควรสมรสกับผู้รับหมั้น ฝ่ายผู้หมั้นเรียกสินสอดคืนได้ (ตามกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้)

สิทธิหย่าร้าง สมรสเท่าเทียม ช่างภาพพีพีทีวี
ทำความเข้าใจ 5 สิทธิพื้นฐาน หลังกฎหมาย "สมรสเท่าเทียม" ใช้บังคับ

สิทธิในการดูแลชีวิตคู่ (ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส)

  • คู่สมรสต้องอยู่กินด้วยกันฉันคู่สมรส
  • คู่สมรสต้องช่วยเหลือ อุปการะ เลี้ยงดูตามความสามารถและฐานะของตน
  • กรณีที่คู่สมรสไม่สามารถอยู่กินฉันคู่สมรสโดยปกติสุข หรือการอยู่ร่วมกันจะเป็นอันตราย แก่ร่างกายหรือจิตใจ หรือทำลายความผาสุกอย่างมาก : อาจร้องขอต่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้แยกกันอยู่ในระหว่างเกิดเหตุ และกำหนดให้อีกฝ่ายจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้ได้
  • กรณีศาลสั่งให้คู่สมรสเป็นคนไร้ความสามารถ / เสมือนไร้ความสามารถ : ให้คู่สมรสอีกฝ่ายเป็นผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ หรือเมื่อมีผู้มีส่วนได้เสียหรืออัยการร้องขอ และมีเหตุสำคัญ ศาลอาจตั้งผู้อื่นมาทำหน้าที่แทนได้

สิทธิในการจัดการทรัพย์สิน – หนี้สินของคู่สมรส

ถ้าคู่สมรส “ไม่ได้ทำสัญญา” เรื่องทรัพย์สินไว้เป็นพิเศษก่อนสมรส ตามกฎหมายเรื่องทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส แยกไว้เป็น “สินส่วนตัว” และ “สินสมรส” ดังนี้

สินส่วนตัว

  • ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส
  • ทรัพย์สินที่เป็นเครื่องใช้สอยส่วนตัว เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ตามฐานะ เครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพ
  • ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือการให้โดยเสน่หา
  • ทรัพย์สินที่เป็นของหมั้น

สินสมรส

  • ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส
  • ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือการให้เป็นหนังสือที่ระบุว่าเป็นสินสมรส
  • ทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว
  • กรณีสงสัยว่าทรัพย์สินใดเป็นสินสมรสหรือไม่? (ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส)

สัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินที่คู่สมรสทำไว้ในระหว่างสมรส ฝ่ายใดจะ “บอกเลิกสัญญา” ในเวลาที่เป็นคู่สมรสหรือภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ขาดจากการสมรสก็ได้

กรณีสินสมรสเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือที่มีเอกสารสำคัญ คู่สมรสฝ่ายใดจะร้องขอให้ “ลงชื่อตนเป็นเจ้าของร่วมกัน” ในเอกสารได้

คู่สมรสต้อง “จัดการสินสมรส” ร่วมกันหรือได้รับความยินยอม (เป็นหนังสือ) จากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณี ดังต่อไปนี้

  1. ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนองอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์
  2. ก่อตั้ง หรือทำให้สิ้นสุดซึ่งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน และภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
  3. ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี
  4. ให้กู้ยืมเงิน
  5. ให้โดยเสน่หา ยกเว้นการให้ที่สมควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัวเพื่อการกุศล/สังคม/ตามหน้าที่จรรยา
  6. ประนีประนอมยอมความ
  7. มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
  8. นำทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิฟ้อง ต่อสู้ หรือดำเนินคดีเกี่ยวกับการสงวน บำรุงรักษา หรือเพื่อประโยชน์แก่สินสมรส ซึ่งถ้ามีหนี้เกิดขึ้นให้ถือว่าเป็นหนี้ที่คู่สมรสเป็น “ลูกหนี้ร่วมกัน“

คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “ไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินสมรสเกินส่วนของตน” ให้บุคคลอื่น

กรณีคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “มีอำนาจจัดการทรัพย์สินฝ่ายเดียว” ให้อีกฝ่ายมีอำนาจจัดการบ้านเรือนและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัวตามสมควรแก่อัตภาพ โดยให้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาจากสินสมรสและสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่าย

กรณีคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “จัดการหรือกำลังทำให้สินสมรสเกิดความเสียหายอย่างมาก” อีกฝ่ายสามารถร้องขอให้ศาลสั่งห้ามหรือจำกัดอำนาจนี้ได้

สิทธิการดูแลคู่ชีวิต สมรสเท่าเทียม ช่างภาพพีพีทีวี
ทำความเข้าใจ 5 สิทธิพื้นฐาน หลังกฎหมาย "สมรสเท่าเทียม" ใช้บังคับ

คู่สมรสสามารถร้องขอให้ศาลสั่งอนุญาตให้เป็นผู้จัดการสินสมรสผู้เดียว หรือสั่งให้แยกสินสมรส หรือกำหนดวิธีการคุ้มครองชั่วคราวได้ ในกรณีที่คู่สมรสอีกฝ่ายที่มีอำนาจจัดการสินสมรส กระทำการ ดังนี้

  1. จัดการสินสมรสเป็นที่เสียหายอย่างมาก
  2. ไม่อุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่าย
  3. มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือทำหนี้เกินกึ่งหนึ่งของสินสมรส
  4. ขัดขวางการจัดการสินสมรสของอีกฝ่ายโดยไม่มีเหตุสมควร
  5. มีพฤติการณ์ปรากฏว่าจะทำความหายนะให้แก่สินสมรส

ในระหว่างที่เป็นคู่สมรสกัน ฝ่ายใด “จะยึดหรืออายัดทรัพย์สินของอีกฝ่ายไม่ได้” ยกเว้นในคดีที่ฟ้องร้อง หรือค่าอุปการะเลี้ยงดู และค่าธรรมเนียมศาล

กรณีคู่สมรสฝ่ายใดต้องรับผิด “ชำระหนี้ส่วนตัว” ให้ชำระด้วย “สินส่วนตัว” เมื่อไม่พอจึงให้ชำระด้วย “สินสมรสที่เป็นส่วนของตนเอง“

กรณีคู่สมรสเป็น “หนี้ร่วม” ให้ชำระหนี้จาก “สินสมรสและสินส่วนตัว” ของทั้งสองฝ่าย

หนี้ที่คู่สมรสเป็น “ลูกหนี้ร่วมกัน” ให้รวมหนี้ที่คู่สมรสก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรสด้วย ดังนี้

  1. หนี้เกี่ยวกับการจัดการบ้านเรือนและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดู การรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัว และการศึกษาบุตร ตามสมควรแก่อัตภาพ
  2. หนี้ที่เกี่ยวกับสินสมรส
  3. หนี้ที่เกิดขึ้นจากการงานที่คู่สมรสทำด้วยกัน
  4. หนี้ที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายได้ให้สัตยาบัน (รับรอง)

กรณีคู่สมรส “มีคำพิพากษาให้ล้มละลาย” สินสมรสย่อมแยกจากกัน (ตกเป็นสินส่วนตัว) โดยอำนาจกฎหมายนับแต่วันที่ศาลพิพากษาให้ล้มละลาย

กรณี “ไม่มีสินสมรสแล้ว” คู่สมรสต้องช่วยกันออกค่าใช้สอย สำหรับการจัดการบ้านเรือนตามส่วนมาก และน้อยแห่งสินส่วนตัวของตน

สิทธิการจัดการทรัพย์สิน สมรสเท่าเทียม ช่างภาพพีพีทีวี
ทำความเข้าใจ 5 สิทธิพื้นฐาน หลังกฎหมาย "สมรสเท่าเทียม" ใช้บังคับ

สิทธิในการหย่าร้าง

หย่าโดยความยินยอม

  • ให้คู่สมรสทำความตกลงเป็นหนังสือว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร ถ้าไม่ได้ตกลงหรือตกลงกันไม่ได้ ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด
  • ให้คู่สมรสตกลงกันไว้ในสัญญาหย่าว่า ทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดจะออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร/จำนวนเงินเท่าไหร่

การหย่าจะสมบูรณ์ต่อเมื่อคู่สมรสจดทะเบียนหย่า คู่หมั้นหรือคู่สมรสฝ่ายหนึ่งไปมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นไม่ว่าจะเป็นเพศใด เรียกค่าทดแทนและเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ 

ฟ้องหย่า ต้องมีเหตุ ดังนี้ 

1. อุปการะเลี้ยงดู ยกย่องผู้อื่นแบบคู่สมรส เป็นชู้หรือมีชู้ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นประจำ หรือกระทำหรือยอมรับการกระทำกับผู้อื่นเพื่อสนองความใคร่ของตนหรือผู้อื่นเป็นประจำ*

เมื่อศาลพิพากษาให้หย่า

  • คู่สมรสมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากคู่สมรสอีกฝ่าย และจากผู้ที่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดู ยกย่อง หรือเป็นเหตุแห่งการหย่า
  • คู่สมรสมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากผู้ล่วงเกินคู่สมรสทำนองชู้ หรือผู้ที่แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับคู่สมรสในทำนองชู้

ถ้าคู่สมรสฝ่ายใดยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ = ฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทนไม่ได้

2. ประพฤติชั่ว จนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง /ถูกดูถูกเกลียดชัง /ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร *

ถ้าคู่สมรสฝ่ายใดยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ = ฟ้องหย่าไม่ได้

3. โดนทำร้าย/ทรมานร่างกายหรือจิตใจ/เหยียดหยามอีกฝ่ายหรือบุพการีอย่างร้ายแรง

4. จงใจทิ้งร้างไปเกิน 1 ปี เช่น ถูกจำคุกเกิน 1 ปี โดยอีกฝ่ายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในความผิด, สมัครใจแยกกันอยู่เพราะอยู่ร่วมกันแบบปกติสุขไม่ได้ตลอด 3 ปี, แยกกันอยู่ตามคำสั่งศาลเป็นเวลาเกิน 3 ปี

5. ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เกิน 3 ปี โดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร

6. ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูตามสมควร หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นคู่สมรสอย่างร้ายแรง

7. เป็นคนวิกลจริตตลอดมาเกิน 3 ปี และยากจะหายและถึงขนาดทนอยู่ร่วมกันแบบคู่สมรสต่อไปไม่ได้

8. ผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติ*

ถ้าการผิดทัณฑ์บนมาจากความประพฤติของคู่สมรส แต่เป็นเหตุเล็กน้อยหรือไม่เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกัน = ศาลอาจสั่งไม่ให้หย่าได้

9. เป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงที่เป็นภัยและไม่มีทางที่จะหายได้

10. มีสภาพร่างกายที่ทำให้ร่วมประเวณีไม่ได้ หรือสนองความใคร่ไม่ได้ตลอดกาล*

ถ้าสภาพร่างกายดังกล่าว เกิดจากการกระทำของคู่สมรสอีกฝ่าย = ฟ้องหย่าไม่ได้

Bottom-BDMS Bottom-BDMS

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

PPTVHD36

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ