ฝันของใครหลายคนในยุคปัจจุบันที่จะมีอาชีพอิสระ เป็นเจ้านายตัวเอง และมีรายได้ที่สามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้อย่างสบาย ถ้าลองนึกอาชีพในฝันของคนยุคนี้เชื่ออย่างหนึ่งว่าอาชีพที่จะถูกเอ่ยถึงอาชีพหนึ่งต้องมีอาชีพนี้คือ ‘นักเทรดหุ้น’
THG ไตรมาส 1 พลิกกำไร 552 ล้านบาท พุ่ง 371% อานิสงส์ผู้ป่วยโควิดโอมิครอน
STGT ไตรมาส 1 กำไรวูบ 89.5% เหลือ 1,052 ล้านบาท ถุงมือยางตลาดโลกราคาตก
นักเทรดหุ้น ฟังดูแล้วโก้หรูเสียจริงเชียว ถ้าเปิดหนังสือหรือค้นหาคำนี้ทางอินเตอร์เน็ตก็อาจจะเจอภาพที่กดปุ่มไม่กี่ปุ่มก็สามารถทำรายได้เป็นกอบเป็นกำชนิดที่ว่าเมื่อเทียบกับบางคนนั้นอาจจะต้องใช้เวลาทั้งเดือนในการหารายได้ดังกล่าวนี้
แล้วอาชีพในฝันของคนยุคใหม่นี้ มีอิสระเช่นนั้นจริงหรือ มีรายได้ง่ายเช่นนั้นจริงหรือ และทำงานสบายเช่นนั้นจริงหรือ วันนี้ PPTV Online ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ ‘เบิร์ท’ มานิตย์ ศรายุทธิกรณ์ ซึ่งปัจจุบันประกอบอาชีพ ‘นักเทรดหุ้น’ ที่เรียกว่าเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพนี้ด้วยวัยเพียง 37 ปี กับการครอบครอบทรัพย์สินรวมกว่า XXX,XXX,XXX บาท (9 หลัก)
แต่สิ่งที่บ่งบอกว่าชายหนุ่มผู้นี้ประสบความสำเร็จไม่ใช่มูลค่าทรัพย์สินที่ครอบครอง แต่เป็นความกล้าในการเลือกเดินในเส้นทางอาชีพ ‘นักเทรดหุ้น’ นี้ ที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคและการทำความเข้าใจกับคนในครอบครัว
เนื้อหมูแพงไม่หยุด ปรับราคาเพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ 10 บาท
รู้จัก ‘เบิร์ท’ มานิตย์ ศรายุทธิกรณ์
‘เบิร์ท’ มานิตย์ ศรายุทธิกรณ์ สำเร็จการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเมื่อหลังจากสำเร็จการศึกษาได้เริ่มต้นในวิชาชีพทนายความในบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นชื่อดังแห่งหนึ่ง โดยเริ่มต้นจากการเป็นพนักงานบริษัทเอกชนที่มีรายได้ประจำคือ เงินเดือน เริ่มต้นราว 2 หมื่นบาท/เดือน จนเก็บสะสมประสบการณ์ในสายวิชาชีพดังกล่าวโดยมีเงินเดือนสุดท้ายที่ราว 7-8 หมื่นบาท/เดือน
ส่วนตัวเป็นคนสนใจในด้านการลงทุนจึงได้ใช้การหาความรู้ด้วยการอ่านหนังสือนอกเวลา โดยเริ่มแรกอยากทำธุรกิจอะไรขายของหรือขายออนไลน์ซึ่งต้องใช้เงินลงทุน แต่พอได้เจอหนังสือที่เกี่ยวกับหุ้นจึงเห็นวิธีการที่ไม่ต้องใช้เงินทุนอะไรมาก อาจจะมีเพียงแค่ อินเตอร์เน็ต และ หนังสือ รวม ๆ แล้วราคาไม่กี่บาท ซึ่งสามารถทำควบคู่ได้ไปกับงานประจำ
จุดเริ่มต้นการเป็นนักลงทุน
แรกเริ่มที่เข้าสู่วงการการลงทุนในตลาดหุ้นในวันนั้นยังเป็นพนักงานของบริษัทเอกชนอยู่ โดยในขณะที่ทำงานอยู่วันนึงเห็นเพื่อนที่บริษัทนั่งกดโทรศัพท์จึงสนใจว่าสิ่งที่เพื่อนคนนั้นทำอยู่คืออะไรนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่เข้าวงการครั้งแรก โดยเงินก้อนแรกที่เริ่มในวันนั้นคือ การนำเงินเก็บจากเงินเดือนและโบนัสประจำปีที่ได้มารวมแล้วเงินก้อนแรกประมาน 1 แสนบาท และภายใน 2 วันจากนั้นทำกำไรครั้งแรกจากเงินก้อนแรกได้ 2 หมื่นบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ดีใจมาก ๆ และเริ่มมองเห็นโอกาสในด้านการลงทุน
วิธีการในช่วงแรกที่มีเงินทุนน้อยใช้วิธีแบ่งสัดส่วนของรายได้ประจำ (เงินเดือน) 90% และ แบ่งส่วนการลงทุน 10% โดยมีหลักคิดที่ว่าค่อย ๆ เก็บสะสมประสบการณ์ไป จากนั้นทยอยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็น 20%, 30%, 40% และ 50% ตามลำดับ แต่สิ่งที่เป็นเคล็ดลับส่วนตัวคือการลงทุนดังกล่าวนั้นจะเป็นการลงทุนแบบทบไปเรื่อย ๆ ไม่มีการถอนกำไรออกมาใช้จ่าย
จุดเริ่มต้นการเป็น ‘นักเทรดหุ้น’ แบบเต็มตัว
จนกระทั่งถึงวันที่ยื่นใบลาออกจากพนักงานบริษัทออกมาเป็น ‘นักเทรดหุ้น’ แบบเต็มตัว ซึ่งวันนั้นสิ่งแรกที่ทำคือการปลดหนี้ทุกอย่าง เช่น หนี้บัตรเครดิต, หนี้รถ เพื่อย่อตัวให้ต่ำที่สุดกับการรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
“สิ่งหนึ่งที่ผมให้ความสนใจคือเรื่อง หลักคิด ต้องมาก่อนแล้วอย่างอื่นจะตามมา ต้องบอกก่อนเลยว่าวันที่ผมออกมาเป็นนักเทรดหุ้น ผมไม่มีความลังเลเลยว่าผมจะทำไม่ได้”
แต่ความมั่นใจอย่างเดียวไม่พอ เพราะว่า ความเข้าใจของคนในครอบครัวนั่นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะต้องให้ความสำคัญ ซึ่ง เบิร์ท ใช้วิธีการสร้างความมั่นใจให้กับ คุณแม่ ด้วยการให้รายได้กับแม่อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนซึ่งเงินดังกล่าวเป็นเงินที่มาจากการเทรดหุ้น และทำให้เขาเข้าใจว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้เป็นสิ่งที่มั่นคง และในบางโอกาสก็แชร์ข้อมูลกับคุณแม่ว่าการเทรดในลักษณะแบบนี้มันมีผลกำไรเกิดขึ้นจริง เพื่อที่ทุกคนที่จะเข้าใจตรงกันในสิ่งที่เราทำ
จนกระทั่งถึงวันนี้ได้ยึดถืออาชีพ ‘นักเทรดหุ้น’ มานานกว่า 8 ปี แล้วจากเงินทุนหลักแสนบาทในช่วงเริ่มแรกสุด จนกระทั่งเพิ่มมาเป็นหลักล้านบาท และมาถึงวันนี้ก้าวไปสู่ระดับหลักร้อยล้านบาท ถือเป็นสิ่งที่สะท้อนประสบการณ์การเดินทางในเส้นทางการลงทุนแบบเต็มตัวของตัวเองได้เป็นอย่างดี
นักเทรดหุ้น มีอิสระในการทำงานอย่างไร
อาชีพนี้มีอิสระในการทำงานอย่างมาก เพราะเราไม่มีหัวหน้า เราไม่มีคู่ค้า เราไม่มีบริษัท เราเป็นนายตัวเอง วันนี้ผมรู้สึกว่าผมเป็นซีอีโอดูแลตัวเอง เราจะตื่นนอนตอนไหนก็ได้ จะใส่ชุดอะไรก็ได้ นั่นเรียกว่าอิสระ
แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งคือ เราต้องจัดการตัวเองทุกอย่าง การหาความรู้, การออกกำลังกาย, การใช้ชีวิต เป็นต้น
กองทัพเรือ ประกาศจุดยืนต่อต้านโฆษณาแพลตฟอร์มออนไลน์เจ้าดัง
การเป็น นักเทรดหุ้น ต้องเตรียมตัวอย่างไร
เริ่มต้นเลยคือต้องแยกบัญชีค่าใช้จ่ายกับแยกบัญชีการลงทุนออกจากกัน ซึ่งบัญชีค่าใช้จ่ายนั้นจะต้องครอบคลุมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทุกอย่างของตัวเองได้อย่างน้อย 2 ปี ส่วนบัญชีการลงทุนจะเท่าไรก็ตาม ต้องเผื่อการขาดทุนอย่างน้อย 40% ต่อปี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเงินทุนจะหายไปเพียงแค่เราต้องเผื่อใจไว้ถึงการตัดสินใจผิดพลาด หรือ ช่วงความผันผวนของตลาด
โดยการเริ่มต้นการเป็น นักเทรดหุ้น ต้องมี 3 อย่างคือ
- เงินทุน - ต้องยอมรับให้ได้ว่าเราจะต้องติดลบของพอร์ตให้ได้ 20-40% โดยเราต้องคิดว่าเรามีโอกาสที่จะเจอเรื่องแบบนี้ได้
- วินัย - วินัยในการหาความรู้, วินัยในการใช้จ่าย
- ใจ - เราต้องเตรียมใจพร้อมรับความสมหวัง และ ผิดหวัง
ยกตัวอย่างตัวเอง ที่เป็นคนโชคดีในการได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตด้านอื่น ในสิ่งที่ได้ศึกษามาตอนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งได้เรื่องการลำดับความคิด เรื่องความรู้พื้นฐาน รวมถึงความมีวินัย พร้อมกับในช่วงที่เป็นพนักงานประจำในบริษัทเอกชนยังได้เรียนรู้ขั้นตอนการทำงาน และ ระเบียบแบบแผน รวมถึงในส่วนตัวเป็นคนมีพื้นฐานความชอบด้านการคำนวนและการอ่าน ทำให้เวลาการตัดสินใจในการเข้าซื้อหรือการมองการเทรดหุ้น เป็นไปได้อย่างมีลำดับ
“ดังนั้นการเรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะเป็นพื้นฐานของทักษะต่าง ๆ ในทุกด้านจนทำให้ตัวผมเองมีทุกวันนี้”
กว่าจะมาถึงวันนี้มี ‘ความสมหวัง' และ ‘ผิดหวัง’ ผ่านความรู้สึกเหล่านั้นมาได้อย่างไร
ต้องยอมรับว่ากว่าผมจะมาถึงวันนี้ไม่ได้อยู่ในเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเพียงอย่างเดียว ในวันที่ผมตัดสินใจผิดเข้าซื้อหุ้นผิดทำ ในช่วงแรก ๆ ตัดสินใจผิดครั้งหนึ่ง อาจจะสูญเสียมูลค่าเทียบเท่า iPhone ไป แต่เมื่อวันหนึ่งมูลค่าที่สูญเสียมันเพิ่มขึ้นเป็น รถยนต์หนึ่งคัน หรือ คอนโดมิเนียมหนึ่งห้อง ต่อครั้ง
สิ่งที่ทำให้ตัวเองข้ามผ่านสิ่งเหล่านั้นมาได้คือ การมองเป้าหมายที่ใหญ่กว่า แม้ว่าระหว่างทางเราอาจจะเจออุปสรรคหรือความผิดหวัง ทำให้มูลค่าพอร์ตที่ถืออยู่มันหายไป แต่เมื่อเรากำหนดเป้าหมาย เป็นเดือน เป็นปี เราจะมองข้ามความผิดหวังเหล่านั้นไปได้และบรรลุเป้าหมายใหญ่ที่เรากำหนดไว้
ตัวอย่างเช่น ผมเคยเทรดหุ้นมองหุ้นผิดเข้าซื้อไปมูลค่าหายไปใน 1 วัน กว่า สิบล้านบาท แต่เมื่อผมมองไปถึงเป้าหมายรายเดือนของผมที่ตั้งไว้ผมจะมองเห็นโอกาสในการแก้ไขและใช้สิ่งที่เราศึกษามาหรือประสบการณ์ของเราแก้ไขในวันถัดไปเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายรายเดือน
ที่สำคัญการทำอาชีพในลักษณะนี้ส่วนตัวผมเองมีการ ประเมินผล และ รีวิว ตัวเองเป็นประจำ เพื่อที่จะได้รู้ถึงสิ่งที่เรากำลังทำอยู่หรือเราทำอะไรพลาดไปและจะได้ปรับให้อยู่ในเส้นทางอยู่เสมอ
แนวทางการลงทุนของ ‘เบิร์ท’ ในปี 2565
สำหรับผมในปีนี้ผมกอดเงินสดไว้เพิ่มโอกาสให้กับตัวเองในสถานการณ์ความผันผวนของตลาดเช่นนี้ โดยตอนนี้สถานการณ์ตลาดลดลงในระดับกลาง ซึ่งจะใช้เงินสดไว้เข้าซื้อในช่วงสถานการณ์ตลาดที่ลดลงระดับต่ำสุด
ซึ่งหุ้นกลุ่มที่ผมหลีกเลี่ยงในปีนี้เลยคือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ทั้งหลายทั้งในและต่างประเทศ เช่นเดียวกับ หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น ในปีนี้ส่วนตัวได้มีการปรับสัดส่วนให้ลดลง
ขณะที่ การลงทุนชนิดอื่น ๆ เช่น ทองคำ, น้ำมัน และ สินทรัพย์ดิจิทัล อย่าง NFT มีทิศทางที่น่าสนใจในด้านการลงทุนและแนวโน้มที่ดีในปีนี้
สัดส่วนการลงทุนของ ‘เบิร์ท’ ในปี 2564
- หุ้นเก็งกำไร 50%
- หุ้นปันผล 30%
- เงินสด 20%
สัดส่วนการลงทุนของ ‘เบิร์ท’ ในปี 2565
- หุ้นเก็งกำไร 20%
- หุ้นปันผล 20%
- อสังหาริมทรัพย์/อื่น ๆ 10%
- เงินสด 50%
สุดท้ายการเป็น ‘นักเทรดหุ้น’ เมื่อเวลาได้ก็อย่าพึ่งดีใจ เพราะอย่างไรก็ยังมีความเสี่ยง ที่สำคัญการมีวินัยในทุกด้านเป็นสิ่งสำคัญมาก เมื่อถึงเวลาที่ต้อง Cut Loss ก็ต้องยอม อย่าเอาความรู้สึกไปผูกไว้กับหุ้น
“นักรบยังมีบาดแผล นับประสานอะไรกับนักเทรดหุ้น”
ทอ.เอาด้วย!ขอความร่วมมือกำลังพลไตร่ตรองสั่งซื้อสินค้าผ่าน “ลาซาด้า”