แม้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอากาศร้อนอบอ้าว และมีแสงแดดอยู่ตลอดทุกฤดูกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อนที่แสงแดงนั้นเจิดจ้ายิ่งกว่าสิ่งใดทั้งปวงแล้วล่ะก็.. คนส่วนใหญ่จึงคิดว่าแสงแดดนั้นเป็นตัวการสำคัญ ในการทำร้ายผิวของเราให้เกิดความหมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำบนใบหน้าและทำให้ผิวเราเสีย แต่ในความเป็นจริงแล้วแสงแดดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าหากเรารู้จักป้องกันอย่างถูกวิธี
รศ.พญ.ณัฏฐา รัชตะนาวิน หน่วยโรคผิวหนังภาควิชาอายุรศาสตร์และสาราณียกร สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
รศ.พญ.ณัฏฐา รัชตะนาวิน หน่วยโรคผิวหนังภาควิชาอายุรศาสตร์และสาราณียกร สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย อธิบายว่าแสงแดดที่ส่องมายังพื้นโลกประกอบด้วยแสงสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 แสงยูวี (UV) ซึ่งเป็นแสงที่มองไม่เห็น แต่มีพลังงานสูงและเป็นสาเหตุสำคัญของผิวไหม้แดง ผิวคล้ำ มะเร็งผิวหนัง และผิวชราจากแดด แม้จะมีปริมาณเพียง 5% ของแสงแดดทั้งหมดก็ตามซึ่งแสงยูวีนั้นยังแบ่งย่อยตามความยาวคลื่น คือ ยูวีเอ(UVA) และ ยูวีบี(UVB) คือแสงยูวีที่มีในแสงแดดที่ส่องมายังพื้นโลก ยากันแดดในปัจจุบันถูกผลิตขึ้นมาให้สามารถป้องกันยูวีบีและเอ ได้เกือบ 100% ยกเว้นยูวีเอที่มีคลื่นยาวมาก หรือ ยูวีเอ-วัน ที่ยากันแดดรุ่นเก่ามักจะป้องกันได้ไม่ดี จึงเป็นสาเหตุของผิวคล้ำเสีย และ ยูวีซี (UVC) มีความยาวคลื่นสั้นที่สุดสามารถฆ่าเชื้อโรคได้แต่ถูกกรองโดยโอโซนทำให้ไม่มาถึงพื้นโลก หรือมีเพียงเล็กน้อย บริเวณที่มีโอโซนบาง
ส่วนที่ 2 แสงที่ให้ความสว่าง (visible light) มีปริมาณ 45 % ของแสงแดดทั้งหมด แสงนี้มีพลังงานต่ำกว่าแสงยูวีหลายพันเท่า แต่ถ้าได้รับเป็นเวลานาน เช่น ตลอดทั้งวันก็สามารถทำให้ผิวคล้ำเสีย หรือเสื่อมจากแดดได้ เนื่องจากสามารถกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ และยากันแดดในปัจจุบันไม่สามารถป้องกันได้ ยกเว้นยากันแดดที่มีส่วนประกอบของ Red iron oxide ซึ่งจะมีสีชมพูแดงหรือการใช้ผ้าปกปิด
ส่วนที่ 3 แสงอินฟราเรด หรือแสงที่ให้ความร้อน มีปริมาณ 50% ของแสงแดดทั้งหมด และมีพลังงานต่ำกว่าแสงที่ให้ความสว่าง ดังนั้นจึงมีพลังงานต่ำที่สุด สามารถทำให้เกิดผิวคล้ำ และผิวเสื่อมจากแดดเนื่องจากสามารถกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระได้ แต่ต้องใช้ปริมาณสูงมากเช่นกัน ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันแสงอินฟราเรด ที่มีประสิทธิภาพนอกจากการหลีกเลี่ยงการสัมผัส
ทั้งนี้ สำหรับวิธีป้องกันแสงแดดนั้น รศ.พญ.ณัฏฐา แนะนำวิธีปฏิบัติง่ายๆ โดยแบ่งออกเป็นข้อต่างๆ ดังนี้
1. กฎของเงา ป้องกันตัวเองจากแสงแดดโดยใช้วิธีกฎของเงา ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจนกว่าเงาจะยาวกว่าตัวของเราคือ ช่วงเช้าก่อน11.00 น. และช่วงเย็นหลัง14.00 น. ซึ่งจะเป็นช่วงที่ปลอดภัย เพราะจะมีแสงยูวีบี(UVB) น้อย
2. เสื้อผ้า เสื้อผ้าเนื้อแน่น สีเข้ม หนา จะป้องกันแสงทุกประเภทได้ประมาณ 90 %
3. ร่ม เนื้อผ้าของร่มส่วนใหญ่จะกันแสงแดดได้ดีประมาณ 80% - 90% ซึ่งประสิทธิภาพในการป้องกันแดดของร่มขึ้นอยู่กับตำแหน่งของดวงอาทิตย์ และ ระยะห่างของร่มจากผู้ใช้ ถ้าร่มและตำแหน่งของดวงอาทิตย์ อยู่ เหนือศีรษะพอดีก็จะป้องกันได้ดีที่สุด แต่โลกมีการเคลื่อนที่ ดวงอาทิตย์จึงจะไม่อยู่ตำแหน่งเดิมตลอดเวลา เพราะฉะนั้นร่มจึงมีประสิทธิภาพในการป้องกันประมาณ 70-80%
4. หมวก หมวกปีกกว้าง เนื้อหนา สีเข้ม ก็จะป้องกันแสงได้มากที่สุด
5. แว่นกันแดด การป้องกันแสงแดดด้วยแว่นตา ไม่จำเป็นต้องเป็นแว่นตาราคาแพง เพราะประสิทธิภาพในการป้องกันยูวีแตกต่างกันไม่มาก จะแตกต่างเพียงสไตล์การออกแบบเท่านั้น ซึ่งแว่นตากันแดดที่ดีจะเป็นแว่นที่คาดมาถึงด้านข้าง (Wrap around) และมีการ์ดด้านบน เพื่อป้องกันแสงแดด การใช้แว่นกันแดดมีประโยชน์มาก หากแสงแดดมาจากด้านหน้า แว่นกันแดดจะปกป้องได้ดี แต่ถ้าหากแสงแดดมาจากด้านบน เช่นเวลาเที่ยงก็จะป้องกันได้น้อย เพราะแสงส่องผ่านมาจากขอบแว่นด้านบน ในเป็นชาวตะวันตก กระบอกตาจะลึกกว่าชาวเอเชียทำให้ได้แสงแดดน้อยกว่าชาวเอเชีย ที่มีเบ้าตาตื้น
6. การทาครีมกันแดด ควรทาครีมกันแดดให้หนาสม่ำเสมอ เพราะผิวของมนุษย์ไม่เรียบ มีรอยหยักตื้นเป็นคลื่น ถ้าเราทาเพียงชั้นเดียวก็จะเหลือบริเวณที่ครีมกันแดดครอบคลุมไม่ถึง เพราะฉะนั้นจึงควรต้องทาครีมกันแดดบางๆทับกัน 2 รอบ และทาครีมกันแดดเฉพาะผิวหนังที่ไม่สามารถปกปิดได้ด้วยเสื้อผ้า เช่น ใบหน้า คอ หรือ หลังมือ เป็นต้น เพื่อลดความสิ้นเปลือง
สุดท้าย คุณหมอย้ำว่าแม้ว่าประเทศไทย จะเป็นประเทศที่มีแสงแดดอยู่ทุกฤดูกาล แต่หากทุกคนรู้จักการป้องกันแสงแดดอย่างถูกวิธี และรู้วิธีการใช้สารกันแดดที่ถูกต้อง การเกิดผิวไหม้เสียก็จะน้อยลง แต่สิ่งสำคัญต้องไม่ลืมว่าแสงยูวี มีประโยชน์ช่วยกระตุ้นให้ผิวหนัง ให้ผลิตวิตามินดี ดังนั้นผู้ที่ป้องกันผิวหนังจากแสงแดดเป็นประจำ ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินดี หรือรับประทานวิตามินดีเสริมให้ได้ปริมาณอย่างน้อย 600 IU ต่อวัน เพื่อป้องกันปัญหากระดูกบางนั้นเอง